Race เรื่องวุ่น ๆ ของวัยรุ่นมนุษย์ออฟฟิศ สู้ชีวิตเก่งมาก แต่โดนสู้กลับทุกดอก!

ในความรู้สึกลึก ๆ เหมือนเพิ่งผ่านปีใหม่ไปแป๊บ ๆ เองแต่พอดูปฏิทินก็พบว่าเวลานี้เราเดินทางมาถึงเดือนที่ 5 ของปีกันแล้ว นับไปอีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลัง และอีกไม่กี่อึดใจก็เข้าปีใหม่อีกครั้ง บ่อยครั้งที่เคยสงสัยว่าเป็นเพราะเรามัวแต่ยุ่ง ๆ อยู่กับการทำงานหรือเปล่า ถึงไม่ค่อยมีเวลามาสนใจใส่ใจวันเวลาเท่าไรนัก เลยรู้สึกว่าเวลามันก็เดินเร็วดีเหมือนกัน (ยกเว้นวันทำงาน ฮี่ ๆ) มันเร็วและค่อนข้างจะบีบรัดตัว จนรู้สึกว่าเราไม่สามารถวางแผนทำอะไรอย่างอื่นได้เลยนอกจากทำงาน ใจตอนนี้อยากไปเที่ยวต่างประเทศมาก แต่พอหันมามองงานแล้ว ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะว่างเที่ยวได้อย่างสบายใจขนาดนั้น เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะรู้สึกเหมือนกัน

บางที การที่เราได้ฟังหรือได้เห็นความโชคร้ายของคนอื่นที่ลักษณะมันทับซ้อนกับตัวเรา มันก็เป็นการปลอบใจที่ดีเหมือนกันนะ แบบว่าอย่างน้อยก็ไม่ได้มีแค่เราคนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ หรือรู้สึกว่าเราเองยังโชคดีกว่าเขาตั้งเยอะ อะไรประมาณนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เปิดซีรีส์เรื่อง Race ซีรีส์ใหม่แกะกล่องจาก Disney+ Hotstar ขึ้นมาดู เพราะจากเรื่องย่อ มันน่าจะช่วยปลอบประโลมชีวิตเฉา ๆ ของพนักงานออฟฟิศหลาย ๆ คนที่บ้างก็หมดไฟ บ้างก็หมดใจ บ้างก็หนักถึงขั้นหมดอาลัยตายอยาก ให้ลองเห็นการทำงานของคนอื่น ๆ ดูบ้าง เผื่อจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง

Race เป็นซีรีส์ที่ถ่ายทอดชีวิตวุ่น ๆ ของวัยรุ่นมนุษย์เงินเดือนในแวดวงงานประชาสัมพันธ์ งานด่านหน้าที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาสุดท้าทาย และเหนือสิ่งอื่นใด คือการพิสูจน์ความสามารถของตัวเองว่าคู่ควรกับตำแหน่งงานหรือเปล่า ความขยันทำงานหนักอย่างเดียวไม่อาจทำให้เราเติบโตในหน้าที่การงานได้ เราต้องพึ่งทั้งพรสวรรค์และพรแสวง ที่สำคัญ พื้นเพบางอย่างก็ช่วยหนุนนำและปูทางให้เราไปสู่ความสำเร็จได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่ไม่เหนื่อยหรอกนะ แต่มันทำให้ทางเดินได้ลื่นไหลมากขึ้น เพราะทุกคนต่างก็มีลู่แข่งของตัวเองที่เป็นเส้นชัยของตัวเอง

ตัวละครหลัก ๆ มีอยู่ด้วยกัน 4 คน นางเอกคือตัวแบกของเรื่อง เพราะปมหลักของเรื่องอยู่ที่เธอ เธอคือพนักงานออฟฟิศธรรมดา ๆ ที่ใคร ๆ ก็มองว่าไร้คุณสมบัติ แต่เธอมีไฟในการทำงานเกินร้อย เป้าหมายของเธอคือการพิสูจน์ตัวเองว่าเธอเป็นคนที่มีความสามารถเหมือนกัน นี่คือความยากลำบากที่เธอต้องต่อสู้ดิ้นรนให้อยู่รอดในชีวิตการทำงาน พระเอก (คิดว่าคนนี้พระเอก) เป็นเพื่อนสนิทนางเอกที่เรียนด้วยกันมา เขาเองก็เป็นคนเก่งคนหนึ่ง และค่อนข้างที่จะเคร่งครัดเรื่องการสร้างสมดุลให้กับชีวิตและงาน

ส่วนอีก 2 คน ยังเป็นตัวละครที่ยังไม่ได้มีบทบาทอะไรมากใน 2 ตอนแรก คนหนึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการประชาสัมพันธ์เบอร์หนึ่งในวงการ เธอเป็นผู้หญิงที่ทำงานเก่งมาก บุคคลที่สามารถมอบมิตรภาพอันดีให้แก่ทีมของตัวเองโดยไม่คำนึกถึงตำแหน่งและรุ่นที่แตกต่างกัน โดยที่เธอเองเป็นคนที่นางเอกนับถือให้เป็นไอดอล แถมยังเป็นพนักงานต้นแบบสำหรับทุกคน ส่วนอีกคน เป็นซีอีโอหนุ่มที่มีอิสระในการแสดงออกทางความคิด สร้างกรอบแนวคิดของตนเองให้ยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์มาก ที่ได้เห็น U-Know Yunho ลีดเดอร์บอยแบนด์ในตำนาน TVXQ ในบทนี้ ถือเป็นการคัมแบ็กผลงานละครในรอบ 6 ปีเลยก็ว่าได้

เธอไม่ควรทำงานวันหยุดนะ – นายก็ทำเหมือนกันนี่

มันเป็นเรื่องราวที่มนุษย์เงินเดือนเท่านั้นที่จะเข้าใจ ต่อให้พยายามรักษา work-life balance ในชีวิตอย่างเคร่งครัด ถ่อสังขารออกไปใช้ชีวิตวันหยุดนอกเมืองไกลแค่ไหน ถ้างานมีปัญหาและหัวหน้าตามตัว ก็ต้องรีบวาร์ปเอาสังขารกลับมาบัดเดี๋ยวนั้น ถ้าคุณไม่กลับมาแถมยังติดต่อไม่ได้อีก คุณอาจจะไม่ต้องกลับไปทำงานที่นั่นอีกแล้ว ปัญหาหลาย ๆ อย่างมันไม่สามารถรอให้ถึงเวลาเข้างานก่อนแล้วค่อยลงมือแก้ ยิ่งยืดเวลาออกไปนานเท่าไรความเสียหายก็ยิ่งมากเท่านั้น และในที่สุดมันอาจจะบานปลายจนถึงขั้นที่ระดับปฏิบัติการแก้ไขกันเองไม่ได้ ถ้าเรื่องมันลุกลามขึ้นไปถึงระดับสูง ๆ เมื่อไรล่ะก็ เท่ากับว่าคุณไม่มีศักยภาพในการแก้ปัญหา แล้วเขาจะจ้างคุณไว้ทำไม หากเขาต้องทำงานเอง

คือฟังดูมันอาจจะไม่ยุติธรรมสำหรับพนักงานเงินเดือนตัวเล็ก ๆ หรอก ไม่มีใครอยากถูกเรียกมาทำงานในวันหยุด ไม่ว่าจะระดับปฏิบัติการหรือระดับบริหาร ทุกคนอยากมีวันหยุดเพื่อทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ (ทว่าระดับบริหารหลาย ๆ คนมักอยากทำกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อการส่งเสริมและสนับสนุนงานที่ตัวเองทำในวันหยุด คนพวกนี้ไม่ปล่อยเวลาให้เดินหน้าไปอย่างไรประโยชน์ แถมยังเป็นพวกที่ประสบความสำเร็จทั้งนั้นด้วย) แต่ก็นั่นแหละ ในบางสถานการณ์ที่มันเร่งด่วนและวิกฤติ เราไม่สามารถที่จะปัดความรับผิดชอบออกจากตัวได้โดยที่จะอ้างว่ามันเป็นวันหยุดได้หรอก

พระเอก (คิดว่าน่าจะคนนี้แหละ) เป็นคนประเภทที่ทำงานเก่ง และก็พยายามจะรักษา work-life balance ของตัวเองอย่างเคร่งครัด ซึ่งมันตรงกันข้ามกับนางเอก ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเขาโดยสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าเขาจะหัวเสียไม่น้อยที่ถูกตามตัวให้กลับมาทำงานในวันหยุดแทนอีกคน แถมยังต้องเดินทางไปที่โรงงานที่อยู่ต่างจังหวัดด้วยเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อมันเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่เขาต้องทำ เขาก็เลือกที่จะไม่ปฏิเสธ และตั้งแต่ที่เขาเลือกที่จะกลับมาแก้ปัญหางานที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าตอนนี้หน้าที่การงานของเขาจะโดดเด่นขึ้น และได้รับความไว้วางใจให้ออกความคิดเห็นเกี่ยวกับโปรเจกต์สำคัญ เท่ากับว่าเขาได้รับโอกาสที่จะแสดงศักยภาพของตัวเองมากขึ้นอีกหนึ่งขั้น

เรื่องของ work-life balance จริง ๆ แล้วมันเป็น ประเด็นสากลที่ค่อนข้างจะคาใจคนทำงานเสมอ ๆ ว่าจุดไหนจึงจะลงตัวที่สุด อย่างกรณีที่เกิดขึ้นในซีรีส์ มันก็จริงอยู่ว่าบริษัทอาจจะเอาเราออกไม่ได้กับประเด็นที่เราไม่ยอมทำงานในวันหยุด มันผิดกฎหมายแรงงาน แต่เวลาที่ปัญหามันจะเกิด มันไม่ได้ถูกตั้งเวลาไว้ว่าให้จะเกิดเฉพาะในวันทำงานเสียเมื่อไร ดังนั้น ในแง่ของความรับผิดชอบต่อหน้าที่แล้ว เราตัดใจทำได้มากน้อยแค่ไหนที่จะหันหลังให้กับปัญหาที่อยู่ในความรับผิดชอบของเราเอง เพื่อที่จะมีความสุขในวันหยุด หรือคิดแค่ว่าถ้าเราไม่ทำเดี๋ยวก็มีคนอื่นทำเองแหละ ในเรื่องของสำนึกในความรับผิดชอบ เราตัดสินใจหันหลังให้กับปัญหาได้ง่าย ๆ ขนาดนั้นเลยจริงหรือ

การคิดแบบที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกอย่างเพื่อปัดความรับผิดชอบและคาดหวังเฉพาะผลประโยชน์ที่ตัวเองควรจะได้รับเพียงอย่างเดียว มันอาจสร้างความเสียหายได้มากกว่าที่เราจะคาดคิด กรณีที่ปัญหาเล็ก ๆ มันลุกลามใหญ่โตเพราะเราเมินมัน ไม่แก้ไขตั้งแต่เนิ่น ๆ เนื่องจากอยู่นอกเวลางาน มันอาจทำให้องค์กรที่เราสังกัดอยู่ล้มเลยก็ได้ ถ้าองค์กรล้ม เราในฐานะพนักงานที่รับเงินเดือนจากองค์กรก็ล้มตาม และคนอื่น ๆ อีกมากมายที่ต้องมารับผลลัพธ์เลวร้ายจากการที่ใครคนหนึ่งเมินที่จะแก้ปัญหางานของตัวเองในวันหยุด แน่นอนว่าถ้าบริษัทเจ๊งไป เราก็หางานที่อื่นทำได้ แต่ต่อมสำนึกผิดชอบชั่วดีจะไม่เตือนให้รู้สักนิดเลยเหรอว่าที่มันกลายเป็นเรื่องใหญ่จนทำลายคนทุกคน เป็นเพราะใคร

พูดง่าย ๆ เลยนะ มันต้องใจเขาใจเรานั่นแหละ ไม่ว่าจะฝ่ายผู้ประกอบการหรือคนทำงาน กับหลาย ๆ บริษัทที่ไม่ใช่บริษัทนรกตั้งแต่แรก บางทีเขาอาจจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือตามพนักงานกลับมาทำงานในวันหยุด เวลาที่มันเกิดปัญหา โดยเฉพาะกับคนที่รับผิดชอบงานนั้นมาตั้งแต่แรก เพราะรู้เรื่องดีที่สุด และการที่พนักงานคนหนึ่งยอมเสียสละเวลาในวันหยุดกลับมาแก้ปัญหาให้ เขาก็ควรได้อะไรตอบแทน เขาจะเมินมันไปเฉย ๆ ก็ได้ แต่เพราะความรับผิดชอบมันค้ำคออยู่ และตัวพวกเขาเองก็ไม่อยากเดือดร้อนหางานใหม่ด้วย จริง ๆ นะ การหางานใหม่มันยากกว่าการทำงานในวันหยุดเสียอีก การที่พวกเขากลัวว่าตัวเองต้องหางานใหม่ เขาอาจจะห่วงตัวเองก่อนก็จริง แต่เขาก็ยังอยากร่วมงานกับองค์กรเดิม องค์กรที่เขาไม่อยากให้ได้รับความเสียหายจนถึงขั้นจ้างใครทำงานให้ไม่ได้

แค่สงสัยว่าถ้าเรียนม.ปลายธรรมดา ชีวิตหนูจะต่างจากตอนนี้ไหม

นี่คือปมปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของนางเอก และอาจจะเป็นแก่นของซีรีส์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ทีแรกที่เห็นนางเอกคุยแชตกับพระเอกเรื่องที่เธอยังคงทำงานหนักไปเรื่อย ๆ แม้ว่าจะเป็นวันหยุดก็ตาม พระเอกบอกเธอในกรณีของเขามันจำเป็นที่ต้องทำ เพราะปัญหามันรอเวลาแก้ไม่ได้ มันต้องรีบแก้ให้เร็วที่สุด แต่กรณีของนางเอกนั้นไม่ได้จำเป็นต้องทำเสียหน่อย แต่นางเอกกลับพิมพ์ตอบเขาไปว่า “นายยังไม่เคยพลาด แต่ฉันเคยพลาดไปแล้ว” ก็ยังงง ๆ อยู่ว่านางเอกเคยทำอะไรพลาด แต่พอในฉากถัด ๆ มา ก็เป็นฉากที่เธอถามแม่ถึงเรื่องที่เธอไม่ได้เรียนม.ปลายเหมือนกับคนอื่น ซึ่งมันกำลังรบกวนใจเธอมาก จนเธอสงสัยว่าถ้าเธอเรียนม.ปลายแบบเพื่อนคนอื่น ๆ ชีวิตเธอจะแตกต่างไปจากตอนนี้ไหม

เท่าที่เรื่องเฉลยออกมาตอนที่นางเอกคุยกับแม่ พอจะจับใจความได้ว่าครอบครัวของนางเอกมีเหตุจำเป็นเกี่ยวกับเรื่องเงิน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอไม่ได้เรียนม.ปลายเหมือนพระเอก ที่เป็นเพื่อนเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถมจนถึงม.ต้น นอกจากนี้พระเอกยังเรียนจบมหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ของประเทศ จนทุกวันนี้ได้ทำงานอยู่แผนกประชาสัมพันธ์ของบริษัทใหญ่โต จุดที่เธอเรียกมันว่า “บนสุดของห่วงโซ่อาหาร” แต่ในขณะเดียวกัน เธอที่หันไปเรียนปวช. เพราะอยากจะทำงานหาเงินทันที ทุกวันนี้เธอเป็นพนักงานตัวเล็ก ๆ ที่วิ่งวุ่นทำหลาย ๆ อย่างในบริษัทเล็ก ๆ จุดที่เธอเรียกมันว่า “ล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร” ชีวิตเธอไม่ได้เลวร้าย แต่ทุกคนชอบตั้งคำถามกับเธอเสมอ เธอบอกว่ามันน่ารำคาญ

“เห็นได้ชัดว่าหนูไม่ใช่คนเก่ง” “นางอาจดูถูกแกเพราะแกจบมหาวิทยาลัยออนไลน์ก็ได้” มันเห็นได้ชัดจริง ๆ นั่นแหละว่าต้นทุนชีวิตที่นางเอกมี มันไม่เพียงพอที่จะสร้างโปรไฟล์ระดับสูงให้เธอเข้าเกณฑ์ที่จะไปร่วมงานกับบริษัทใหญ่ ๆ แบบที่พระเอกทำงานอยู่ได้เลย เด็กที่เกิดจากครอบครัวธรรมดา แถมยังมีพื้นเพที่แทบจะไม่สามารถใช้ปูทางไปสู่ความสำเร็จได้ ในสายตาคนอื่น ๆ เธอเป็นคนที่ไม่ได้เก่งอะไร แถมยังดูเป็นคนหัวอ่อนที่เข้าใจว่าการขยันทำงานหนักสามารถทำให้ตัวเองก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้ แต่โลกความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น เรื่องนี้เธอรู้ดี เธอแค่พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง

สำหรับบริษัทใหญ่ ๆ คุณสมบัติของนางเอกคือเป็นศูนย์ การที่เธอไม่มีโอกาสและไม่มีพื้นที่ที่จะแสดงศักยภาพอย่างเฉิดฉาย เลยไม่มีใครรู้ว่าเธอก้อนกรวดอย่างเธอสามารถเอาไปเจียระไนให้เป็นเพชรได้ จุดที่เธอทำอยู่ ต่อให้งานจะออกมาดี ประสบความสำเร็จแค่ไหน แต่ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นใคร ไม่มีใครรู้จักว่าเธอเป็นเจ้าของไอเดียเหล่านั้น เหมือนกับที่เธอทำมามันจะไร้ประโยชน์อย่างไรอย่างนั้นเลย ที่สำคัญ คือการที่เธอสามารถถูกตัดสินได้ง่าย ๆ จากคนที่ไม่รู้จักกัน สิ่งหนึ่งที่เธอต้องสู้ ก็คือความคิดและคำพูดเชิงลบจากปากคนอื่น ที่มันอาจคอยฉุดกำลังใจให้ท้อถอยและยอมแพ้ไปซะ ถึงอย่างนั้น เธอก็โชคดีที่มีเพื่อนดี เพื่อนที่เชื่อในตัวเธอ เธอเป็นที่หนึ่งในใจเขาเสมอ

มันอาจจะเป็นเพราะพระเอกรู้สึกผิดต่อนางเอก เขาจึงพยายามจะช่วยเหลือเธอทุกอย่าง การเสนอผู้บริหารเรื่องการรับพนักงานใหม่อย่างไม่เลือกปฏิบัติ ไม่กำหนดคุณสมบัติ และสนใจเฉพาะประสบการณ์ ทำให้นางเอกมีโอกาสได้ย่างเท้าเข้าไปทำงานที่บริษัทใหญ่ที่เดียวกับเขา อย่างไรก็ตาม เพราะเธอไร้คุณสมบัติ และได้เข้ามาทำงานในบริษัทใหญ่ด้วยเหตุผลเรื่องไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ใช่เพราะความสามารถ เธอจึงตกเป็นข้อครหาเรื่องการสรรหาบุคลากร ต่อจากนี้ไป เธอจึงต้องพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนได้เห็นว่าพวกเขาคิดผิด เธอเองก็มีความสามารถมากพอตัวเหมือนกัน

นายทำงานครึ่ง ๆ กลาง ๆ ได้ แต่ฉันทำไม่ได้ ฉันอยากทำให้ดีและเป็นที่ยอมรับ มันทำให้ฉันมีความสุขและตื่นเต้น

ถึงนางเอกจะถูกเรื่องราวที่เธอเคยทำพลาดไปในอดีตรบกวนจิตใจอยู๋ไม่น้อย และค่อนข้างจะเคยชินกับการถูกตั้งคำถามเรื่องความสามารถ และพยายามอดทนพิสูจน์ตัวเองจากการโดนดูถูก แต่เธอเป็นคนที่พลังล้นเหลือจนเหลือเชื่อ เธออาจจะไม่ใช่คนเก่ง แต่เธอมี passion และพลังในการทำงานแบบที่คนอื่นสู้เธอไม่ได้เลย เธอเต็มเปี่ยมไปด้วยไฟเกินร้อย และรู้สึกว่าการทำงานมันเป็นอะไรที่สนุก ท้าทาย ตื่นเต้น และมีความสุข เธออยากจะทำมันออกมาให้ดีและเป็นที่ยอมรับ ดังนั้น ไม่ว่าจะต้องพยายามทำงานหนักแค่ไหน มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเธอ งานทำให้เธอมีความสุขจริง ๆ

ต้องย้อนกลับไปตรงที่พื้นเพของนางเอกนิดนึง ด้วยความที่เธอเคยสะดุดและเสียโอกาสชีวิตไปจังหวะหนึ่งด้วยเรื่องครอบครัว ไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัยดัง ๆ (เกาหลีแค่จบมหาวิทยาลัยไม่ดังระดับท็อปของประเทศก็หางานบริษัทใหญ่ ๆ ได้ค่อนข้างยาก) พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ นางเอกเป็นผู้หญิงที่ไม่มีอะไรหนุนนำชีวิตเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะครอบครัวหรือวุฒิการศึกษา เธอสู้ชีวิตและค่อย ๆ สร้างตัวเองมาอย่างยากลำบาก ในช่วงเวลาที่เด็กอายุ 20 ปีหลายต่อหลายคนยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร เธอเปลี่ยนงานแล้ว แถมเธอยังทำงานหาเงินเรียนเองโดยไม่ได้กู้เรียนด้วย เธอเลยมั่นใจว่าสิ่งที่เธอทำมามันเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากกว่าจะมานั่งโทษโชคชะตาที่ตัวเองไม่มีเหมือนคนอื่น

จริง ๆ แล้ว แค่ได้ดูใน 2 ตอนแรก ก็พูดไม่ได้เต็มปากหรอกนะว่านางเอกไม่ใช่คนเก่ง แต่ต้องบอกว่าเธออยู่ผิดที่ผิดทางมากกว่า ซึ่งมันอาจจะเป็นผลกระทบที่สืบเนื่องมาจากทั้งพื้นเพครอบครัวและการศึกษาของเธอนั่นแหละ เธอไม่มีโอกาสและไม่มีพื้นที่ที่จะได้แสดงศักยภาพของตัวเองเท่าที่ควร โปรเจกต์นำเสนอเพื่อประมูลงาน เธอเป็นคนทำเองทั้งหมดตั้งแต่หาข้อมูลและเตรียมนำเสนอ แต่ด้วยปัญหาบางอย่าง เธอไม่ได้ขึ้นนำเสนองาน ก็ไม่มีใครรู้อีกว่าเธอนำเสนองานได้ดีแค่ไหน แถมการประมูลที่ว่าก็ล็อกมงผู้ชนะไว้แล้ว เธอจึงเป็นแค่ตัวประกอบที่ไม่ว่าจะนำเสนออะไรไป ลูกค้าก็คงไม่ซื้องานเธออยู่ดี

และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในการนำไอเดียไปเสนอให้กับลูกค้า คือการที่ลูกค้าซื้อไอเดียแต่ไม่ซื้อบริษัทเอเจนซี เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ มันคือการขโมยไอเดียการ Pitching นั่นเอง ล็อกมงบริษัทที่อยากร่วมงานด้วยแต่ไม่ได้ถูกใจไอเดียของเขา ทว่าดันมาถูกใจไอเดียที่นางเอกเป็นคนหาและรวบรวมข้อมูล รวมถึงเขียนรายละเอียดแผนงานทุกอย่าง การที่บริษัทใหญ่ถูกใจแผนงานที่นางเอกเขียนขึ้นจนถึงขั้นขโมยไอเดียไปให้อีกบริษัทหนึ่งทำ ก็แสดงให้เห็นแล้วนะว่าเธอเป็นคนที่เก่งคนหนึ่งเลย เขาถึงได้ซื้อ (ขโมย) ไอเดียของเธอ

นอกจากนี้ ยังมีลูกค้าใหม่ที่นางเอกใช้เวลาช่วงวันหยุดไปนั่งเฝ้าสังเกตการณ์หาข้อมูลอยู่นาน 2-3 เดือนอีก แม้ว่าจะรู้ว่าธุรกิจเล็ก ๆ แบบนั้นไม่น่าจะมีงบประมาณในส่วนของการโปรโมตร้าน แต่เธอก็พยายามที่จะให้ทุกอย่างมันอยู่ภายใต้เงื่อนไขของลูกค้าให้ได้มากที่สุด หาข้อมูล ลงภาคสนามเก็บข้อมูลด้วยตัวเอง จัดทำแผนการประชาสัมพันธ์และแผนการตลาดเองทั้งหมด จนในที่สุด เธอก็สามารถสร้างยอดขายให้กับลูกค้าได้แบบพุ่งกระฉูด เพราะความสามารถของเธอมีขนาดนี้ แต่กลับไม่มีโอกาสได้เฉิดฉาย ท่านประธานบริษัทถึงตัดใจยอมเสียบุคลากรอย่างเธอไปง่าย ๆ เพื่อให้เธอได้ไปเติบโตในที่ที่แสงแดด น้ำ และสารอาหารดีกว่านี้ เธอจะได้ก้าวหน้ามากกว่าที่เป็นอยู่เสียที

สำหรับซีรีส์เรื่อง Race นี้ เวลานี้อาจจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าสนุก เพราะมันเพิ่งจะสตรีมได้แค่ 2 ตอนเท่านั้น แต่ต้องบอกว่าการปูเรื่องใน 2 ตอนแรก ทำให้มันกลายเป็นซีรีส์ที่น่าติดตามตอนต่อ ๆ ไปอยู่พอสมควร ประเด็นหลัก ๆ ก็คือ มันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากกับบรรดาชาวออฟฟิศอย่างเรา ๆ ที่ถึงแม้จะมีงานมีการทำ มีเงินเดือนโดนเข้าบัญชีให้ใช้จ่ายหนี้สินทุกเดือน แต่ชีวิตมนุษย์ออฟฟิศอย่างเราไม่เคยมีอะไรง่ายสักวัน บนเส้นทางสายอาชีพและการทำงาน ก็ยังมีอะไรให้เราต่อสู้อีกมากมาย ขนาดสู้ชีวิตโคตร ๆ แต่ก็โดนทั้งเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า ป้าแม่บ้าน ลุงรปภ. คนที่บ้าน สภาพแวดล้อมต่าง ๆ รวมไปถึงตัวชิ้นงานสู้กลับอยู่ตลอด ดังนั้น การได้ดูซีรีส์น้ำดีสะท้อนชีวิตแบบนี้ มันก็ให้กำลังใจชาว office worker ตัวเล็ก ๆ ได้ดีเหมือนกัน 🖥