สัปดาห์ที่ผ่านมา หากใครได้ติดตามเนื้อหาทางเพจ Tonkit360 น่าจะได้เห็นทั้งภาพรถยนต์ MG VS HEV ที่ได้รับความอนุเคราะห์จาก “MG เซควอญ่า” กันไปบ้างแล้วนะครับ มาวันนี้ผมเลยถือโอกาสเล่าประสบการณ์และความรู้สึกส่วนตัวที่ได้ลองขับรถคันนี้ เส้นทางไปกลับกรุงเทพฯ-บุรีรัมย์ รวมระยะทางกว่า 700 กิโลเมตร
ผมและทีมงานเริ่มออกเดินทางจากโซนรามอินทรา เข้าเส้นมอเตอร์เวย์ มุ่งหน้าวังน้อย ด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงเต็มถัง (เบนซิน 95 ซูพรีมพลัส) เติมไปราว 42 ลิตร ราคา 1,800 บาท เพื่อที่จะดูว่ารถคันนี้ “แรง” อย่างที่หลาย ๆ เพจทำรีวิวออกมาก่อนหน้านี้หรือไม่ รวมถึงจะประหยัดแค่ไหน
MG คันนี้เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว VTi-TECH ความจุ 1.5 ลิตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ไฟฟ้าพร้อมคันเกียร์แบบ Electric Shift ที่สำคัญเป็นเครื่องยนต์ไฮบริดที่มาคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบเสริมแรง ทำให้รวมกันแล้วให้สมรรถนะสูงสุดที่ 177 แรงม้า แรงบิด 200 นิวตันเมตร ถือเป็นการตอบโจทย์จาก MG รุ่นก่อน ที่อัตราเร่งไม่ค่อยเป็นจุดเด่นนัก
จริง ๆ แล้วโหมดการขับขี่สามารถกดปุ่มปรับ 3 รูปแบบ ได้แก่ Eco, Comfort และ Sport ทว่าโดยรวมผมเลือกใช้โหมด Comfort เกือบตลอดเส้นทางนะครับ มีเพียงบางช่วงที่ลองปรับเป็นสปอร์ตเพื่อทดลองสมรรถนะของมัน แต่บอกเลยว่าแค่ใช้โหมด Comfort ปกติ มันก็รู้สึกพุ่งแล้ว
ขออนุญาตยกตัวอย่างให้เห็นภาพนะครับ หากเราขับรถยนต์ปกติที่เครื่องยนต์ 1.5 ถึง 2.0 ลิตร แบบไม่มีเทอร์โบและไม่มีไฮบริด อัตราเร่งเวลาเรายกคันเร่งและต้องการจะกดเพื่อเร่งแซงหรือไปต่อ มันจะมีความรู้สึกที่ต้องกดคันเร่งที่ลึกกว่าปกติ เหมือนประมาณว่าต้องเค้นกำลังออกมา
แต่หากเป็นรถที่มีเทอร์โบ เราเติมคันเร่งเพิ่มเข้าไปเล็กน้อย เราจะรู้สึกได้ถึงพละกำลังที่ส่งมาถึง ซึ่งเจ้า MG VS HEV คันนี้ก็เช่นกันครับ มีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเสริมแรง ทำให้การเติมคันเร่ง จังหวะเร่งแซง เป็นอะไรที่สบายมาก ยิ่งลองกดเป็นโหมด Sport ด้วยแล้ว โอ้โห! รถมันพุ่งหวาดเสียวมากครับ (ฮา ๆ)
คือพุ่งหลังติดเบาะจริง ๆ ความรู้สึกเหมือนขับรถ EV แบบนั้นเลยครับ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเราอาจไม่ได้ใช้งานโหมดนี้สักเท่าไหร่ แค่ขับแบบ Comfort ก็เพียงพอแล้วครับ นอกจากนี้อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีอยู่ใน MG VS ไฮบริด คันนี้ก็คือระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System)
นี่คือเทคโนโลยีที่มีจุดเริ่มจากรถเอฟวัน มันคือการนำพลังงานที่สูญเสียไปจากการเบรกมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่หรือการชาร์จไฟกลับนั่นเอง โดยมันจะชาร์จไฟกลับทุกครั้งที่เรายกคันเร่ง ซึ่งสามารถเลือกได้ ว่าจะให้มีความหน่วงระดับไหน ตั้งแต่ระดับ 1 ไปถึงระดับ 3
ตลอดเส้นทางขาไป ผมคอยสังเกตตลอดครับ เวลาเรายกคันเร่ง ขณะที่ขับมาด้วยความเร็วระดับ 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อให้ KERS ทำงาน ตัวเลขที่คำนวณระยะทางวิ่งที่เหลือจะเพิ่มขึ้นมาได้อีกราว 5-10 กิโลเมตร ต่อการยกคันเร่ง 1 ครั้ง ซึ่งก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
สรุปแบบรวบรัดเลยก็แล้วกันนะครับ จากกรุงเทพฯ ถึงสนามช้างฯ บุรีรัมย์ ระยะทาง 370 กิโลเมตร ใช้ความเร็วเฉลี่ยตลอดเส้นทาง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผ่านเส้นทางขึ้น 2 ช่วง ตรงมวกเหล็กและลำตะคอง และใช้โหมด Sport เป็นระยะในช่วงนางรองถึงบุรีรัมย์
อัตราการซดน้ำมันออกมาอยู่ที่ 15.6 กิโลเมตรต่อลิตร
ซึ่งก็ถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจกับการขับทางไกล ภายใต้ความรู้สึกที่ปรู๊ดปร๊าด คล่องตัว ถือเป็นรถครอบครัวที่อย่าดูแต่ภายนอกเด็ดขาดครับ เพราะ MG VS HEV คือ บี-เอสยูวี ที่อย่าไปยุ่งกับเขาเด็ดขาด เพราะรุ่นนี้ ขับนุ่ม ๆ ก็ได้ ขับซิ่งก็ดี แถมประหยัดน้ำมันเสียด้วยครับ
มาถึงตรงนี้ใครสนใจก็ลองติดต่อไปที่ MG เซควอญ่า สาขารามอินทรา กันได้ โทร. 02-540-4888 ไปลองขับดูก่อน อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน แล้วคุณอาจจะติดใจเหมือนผมก็เป็นได้ครับ