อีกไม่กี่วันเท่านั้นที่เราจะได้เข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่อีกครั้ง แต่ชีวิตยังมีแต่เรื่องให้ได้ปวดหัวเหมือนเดิมทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยจากเมื่อช่วงต้นปี ที่แย่กว่าคือขอบตาที่มันประท้วงว่าเลิกใช้อายครีมแล้วไปหลับหานอนบ้างเถอะ เสียเงินซื้อข้ามาใช้แต่เอ็งเล่นนอนคืนละ 2-3 ชั่วโมงแบบนี้ ข้าก็ช่วยอะไรเอ็งไม่ได้แล้ว ก็นะ เกิดเป็นอายครีมก็ทำหน้าที่ตัวเองไปเถอะ แกจะมารู้อะไร ช่วงปลายปีแบบนี้มีอะไรต้องเคลียร์ตั้งเยอะตั้งแยะ แถมเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีซีรีส์มาใหม่ตั้งหลายเรื่อง จะให้เอาเวลาไหนมานอนก่อน!
ในบรรดาซีรีส์ 3-4 เรื่องที่จะเริ่มฉายพร้อมกันในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ตั้งใจไว้แล้วว่าต้องดูให้ได้ เพราะกำลังตามผลงานพระเอกคนนี้อยู่ แชจงฮยอบ โดนตกมาพักใหญ่แล้ว เรื่องเก่าเพิ่งจบไปไม่นานก็มีผลงานใหม่มาให้หายคิดถึง แต่เรื่องมันออกจะพล็อตล้ำโลกไปหน่อยแหละ ชื่อเรื่องว่า Unlock My Boss หรือที่ Prime Video TH เจ้าของลิขสิทธิ์ซับไทยแปลชื่อเรื่องนี้เป็นภาษาไทยว่า ปลดล็อกที เครื่องนี้มี CEO
Unlock My Boss เป็นซีรีส์แนวแฟนตาซี โรแมนติก คอมเมดี้ ลึกลับ (สรรหาที่จะรวมแนว) ดัดแปลงจากเว็บตูนชื่อเดียวกัน เรื่องราวของชายวัย 43 ปี ที่ทำงานเป็น CEO ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ด้วยความที่เก่ง ฉลาด แถมยังมาดมั่น บุคลิกถือดี ทำให้เขาก่อศัตรูขึ้มาง่าย ๆ โดยไม่รู้ตัว ในคืนหนึ่งเขาโดนลอบทำร้ายจากบุคคลปริศนา และน่าจะตายไปแล้ว วิญญาณของเขาจึงไปสิงอยู่ในสมาร์ตโฟนของตัวเขาเอง ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีมากมายที่เขาสร้างขึ้น ต่อมาพระเอก ชายหนุ่มเตะฝุ่นที่กำลังหางานทำในวัย 29 ปีดันไปเจอโทรศัพท์เครื่องนี้เข้าโดยบังเอิญ เกิดเป็นสัญญาจ้างงานให้พระเอกไปนั่งตำแหน่ง CEO แทนเขา เพื่อค้นหาตัวคนร้ายตัวจริง
สำหรับ 2 ตอนแรก ก็พูดได้เลยว่าไม่ผิดหวัง แถมสนุกกว่าที่คิดด้วย ช่วงท้าย ๆ อีพีที่ 2 นี่ถึงขั้นต้องเกร็งท้องดูเพราะลุ้นมาก ที่สำคัญคือนัยยะต่าง ๆ ที่แฝงอยู่ในเรื่อง มันเป็นความตลกร้ายของคนวัยทำงาน ที่แม้จะอิงตามสังคมเกาหลีใต้ แต่ในไทยก็ไม่ได้หนีไปกว่ากันเท่าไรนัก แตกต่างกันตรงที่เขาพัฒนาไปไกลกว่ามาก ๆ ในเรื่องของเศรษฐกิจ คนทำงานบ้านเขาเหนื่อยและกดดันแต่รายได้คุ้มที่จะเสี่ยง
ประเด็นที่พอจะเก็บได้มีตั้งแต่ความเหลื่อมล้ำทางสังคม กับดักคนชนชั้นกลาง การดิ้นรนของคนวัยทำงาน ถูกโขกสับแค่ไหนก็ต้องอดทนดีกว่าตกงาน ความคาดหวังของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นส่วนของพ่อแม่ที่คาดหวังลูก หรือส่วนของลูกที่คาดหวังเวลาจากพ่อ ชีวิตจริงกับความฝันที่สวนทาง การจ้างงาน ว่างงาน ตกงาน เตะฝุ่น การอพยพเข้าเมืองหลวงของคนต่างจังหวัดเพื่อหางาน เสี่ยงตกงานเพราะเทคโนโลยี ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การเหยียดเพศ รวมถึง จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย เพราะอาจจะไปขัดแข้งขัดขาใครเข้า
จะได้ทำงานก็ดูเหมือนว่าจะต้องมีประสบการณ์การทำงานก่อน แต่เดี๋ยวนะ! จะมีประสบการณ์การทำงานได้ก็ต้องได้ทำงานก่อนเหมือนกัน
พระเอกเรื่องนี้ได้ระบายความในใจแทนใครหลายคนไปแล้วล่ะ 555 เถียงกันแทบเป็นแทบตายกับคนสัมภาษณ์งานในห้องสัมภาษณ์เลยด้วย นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องย้อนแย้งที่หาทางลงไม่เคยจะได้มานานแล้ว คนสมัครงานก็ต้องได้งานทำก่อนถึงจะมีประสบการณ์ได้ แต่บริษัทกลับอยากได้คนมีประสบการณ์การทำงาน ทั้งที่เรียกอายุคนทำงานน้อยมาก อายุแบบเด็กจบใหม่ คำถามคือแล้วเด็กจบใหม่มันจะไปเอาประสบการณ์การทำงานมาจากไหนกันล่ะถ้าไม่ให้โอกาสให้งานมันทำก่อน เชื่อว่าหลายคนคงเข้าใจสถานการณ์นี้ดี
คือแบบนี้ พระเอกของเราเนี่ยไปสมัครงานกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ระหว่างสัมภาษณ์ก็มีการพูดคุยซักถามประวัติปกติ ปรากฏว่าพระเอกซึ่งอายุ 29 แล้ว แต่ไม่เคยฝึกงานหรือทำงานจริงจังเลยสักครั้ง เขาจึงกลายเป็น “ผู้สมัครที่หายากมาก” เพราะทั้งประวัติการศึกษา ทักษะ ประสบการณ์ ทุกด้านธรรมดาดาษดื่น เรซูเม่จืดชืด ไม่มีอะไรที่โดดเด่นหรือดีกว่าคู่ต่อสู้คนอื่น ๆ ที่เข้ามาสัมภาษณ์พร้อมกัน ที่บอกว่า “หายาก” มันเป็นคำพูดในเชิงประชดประชันและเหน็บแนมจิกกัดแรง ๆ ว่า “ธรรมดาขนาดนี้ยังจะกล้าส่งใบสมัครมาสมัครงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่อีกเหรอ!” นั่นเอง
อันที่จริง พอรู้ข้อมูลนี้แล้ว หลายคนอาจมองว่าถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลกใช่ไหมล่ะที่บริษัทนี้จะไม่รับพระเอกเข้าทำงาน เพราะเขาก็ดูไม่ค่อยจะเอาไหนจริง ๆ อายุปูนนั้นแล้วแต่มีเงินใช้จากงานพาร์ตไทม์มาโดยตลอด ถ้ารับมาแล้วทำงานไม่ได้ บริษัทก็มีส่วนที่เสียหาย การทำธุรกิจเขาทำเพื่อหวังผลกำไรและอยู่เหนือคู่แข่งให้ได้ จึงไม่ค่อยสำคัญเท่าไรหากจะมานั่งเอาอกเอาใจคนประเภทเดียวกันกับพระเอก นี่คือความจริงของโลกใบนี้ คุณสมบัติไม่ผ่านก็คือไม่ผ่าน
ทีนี้มาดูในมุมพระเอกบ้าง ที่เขาดูไม่เอาไหนในสายตาคนเกือบทั้งโลก เป็นเพราะเขาเกกมะเหรกไม่เอาถ่านจริง ๆ หรือเปล่า มีข้อมูลบางอย่างที่ทำเอาคนดูฟังแล้วจุก ตอนที่เขาทะเลาะกับพ่อ และพ่อพยายามจะชี้ให้เห็นว่าที่ชีวิตของเขาไร้ทิศทาง ไร้อนาคต ทุกอย่างมันก็คงได้แค่นี้ พ่อเห็นลูกทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ และพ่อก็รอมานานพอแล้ว แต่ทุกอย่างที่เขาทำมามากพอแล้วนั้นมันไม่มีอะไรคืบหน้าสักอย่าง เพราะฉะนั้นก็ควรหยุด กลับมาอยู่บ้าน มาช่วยงานไร่งานสวนที่บ้านได้แล้ว เลิกไล่ตามความฝันลม ๆ แล้ง ๆ กลับมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติเสียที
ข้อมูลที่พระเอกโพล่งใส่พ่อก็คือ เขาเข้ากรม 2 ปี เรียนมหาวิทยาลัย 4 ปี แล้วมีช่วงที่ต้องพักเรียนไปหาค่าเทอม 2 ปีด้วย พร้อมกับตัดพ้อว่าตัวเขาก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตไปต่อได้และจะพยายามต่อไปแม้ว่าจะรู้สึกท้อแล้วก็ตาม เขาขอแค่ให้พ่ออย่าขัดขวางในสิ่งที่เขาทำก็พอ จากข้อมูลนี้ เราก็จะได้เห็นแล้วว่าทำไมพระเอกซึ่งอายุจะ 30 อยู่แล้ว แต่กลับยังไม่มีงานการทำเป็นเรื่องเป็นราวเลย หากคำนวณเวลาที่เขาเสียไปทั้งหมด 8 ปีกว่าจะเรียนจบออกมาหางานทำได้ ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะเรียนจบมาได้ไม่นานด้วยซ้ำไป แทบจะเรียกว่าเด็กจบใหม่ได้เลย
กลับไปที่เรื่องของการถามหาประสบการณ์การทำงานจากเด็กจบใหม่ เข้าใจว่าบริษัทต้องการบุคลากรที่พร้อมทำงานได้ทันที แต่จะคาดหวังประสบการณ์อะไรมากมายจากเด็กจบใหม่กันเชียว แล้วถ้าไม่ให้โอกาส เด็กจบใหม่พวกนี้ก็ไม่มีทางมีประสบการณ์การทำงานได้หรอก หลายคนมีศักยภาพพร้อมเรียนรู้และพัฒนา แต่ไม่ได้รับโอกาสมันก็ไม่มีประโยชน์ การที่บริษัทตัดสินพระเอกจากอายุโดยไม่ถามเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่เคยทำงานจริง ๆ จัง ๆ มาก่อน มันเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมเอามาก ๆ แต้มต่อในชีวิตของคนเรามันไม่ได้เหมือนหรือเท่ากัน บางคนต้องใช้เวลานานกว่าคนอื่นเพราะมีเหตุผลจำเป็น แต่กลับตัดสินกันง่าย ๆ ว่าเขาไม่พร้อม เขาทำไม่ได้ และไม่ให้โอกาสลอง แบบนี้ก็ได้เหรอ
แต่หนูอยากให้พ่ออ่านให้ฟังนี่นา
ในฐานะของคนวัยทำงานคนหนึ่งที่กำลังค่อย ๆ สร้างตัวไปทีละนิด ๆ จากสถานการณ์ชีวิตที่เริ่มต้นมาจากการติดลบตั้งแต่เรียนจบ พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นหนี้กู้ยืมเรียน และไม่มีทุนทรัพย์ใด ๆ ที่เอาไว้ใช้จ่ายตอนเริ่มทำงานเดือนแรก เงินที่ใช้ตอนนั้นมาจากทางบ้านนิดหน่อยและเงินที่พอเหลือเก็บจากตอนเรียน เงินเดือน 1 ใน 3 หมดไปกับการใช้หนี้ยืมเรียน อีก 1 ส่วนเป็นหนี้สินจิปาถะและสารพัดค่าใช้จ่ายรายเดือนที่บิลจ่อคอหอยทุกเดือน (ตรงนี้รวมที่แบ่งให้พ่อแม่ใช้ด้วย) ส่วนที่เหลืออีก 1 ส่วนถึงจะเป็นค่ากินค่าอยู่ส่วนตัวแบบที่ได้ใช้จ่ายเต็มเม็ดเต็มหน่วย (ไม่กี่บาท) บอกเลยว่าการก้มหน้าก้มตาทำงานหาเงินเพื่อให้มันพอใช้เนี่ย มันทำให้ 24 ชั่วโมงของเราไม่เหมือนกับคนทั่วไป
ส่วนตัวเชื่อว่ามีอีกหลายคนในประเทศนี้แหละที่มี 24 ชั่วโมงคล้าย ๆ กัน หมดเวลาไปกับการทำงานทุกสิ่งอย่างเกิน 10+ ชั่วโมง อีกหลายชั่วโมงไปกับการเดินทางและใช้ชีวิตประจำวันในส่วนอื่น ๆ ที่ไม่รวมนอน ส่วนเวลาที่ได้นอนหลับพักผ่อนจริง ๆ จัง ๆ นั้นถ้านับเอาที่ได้คุณภาพจริง ๆ ก็น่าจะไม่ถึงครึ่งของจำนวนเวลาที่มนุษย์ควรนอนให้พอ
การทำงานหนักเพื่อเงินมันต้องแลกกับอะไรหลาย ๆ อย่าง บางคนแทบไม่เหลือเวลาอะไรให้คนรอบข้าง เพื่อนฝูงจำหน้าไม่ได้ นัดทีไรล่มตลอดไม่เคยว่างไปเพราะต้องทำงาน คนที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ นานปีถึงจะได้เจอหน้า วันหยุดยาวไม่เคยกลับบ้าน เพราะเป็นช่วงเวลาทองของการหาเงิน เอวัง! ชีวิตวัยทำงานของใครหลายคนก็เป็นดังประการฉะนี้
สำหรับคนวัยทำงานกลุ่มหนึ่ง คำพูดที่บอกว่าอย่าทำงานหนักจนลืมดูแลสุขภาพ อย่าทำงานหนักจนไม่มีเวลาให้คนที่เรารักและรักเรา เราตายบริษัทก็แค่หาพนักงานใหม่ แต่พ่อแม่หาใครมาแทนเราไม่ได้ บลา ๆ ในชีวิตจริงมันเป็นแค่ทฤษฎีจริง ๆ นะ เพราะสำหรับคนกลุ่มนี้ ถ้าเลือกที่จะทำงานให้น้อยลงเพื่อได้นอนมากขึ้น ได้มีเวลานั่งกินอาหารดี ๆ ไม่ต้องพยายามยัดเข้าปากเพื่อแค่อิ่มท้อง มีเวลาไปออกกำลังกายวันละ 1-2 ชั่วโมง หรือเพื่อมีเวลาให้พ่อแม่ มันก็แลกมากับการที่รายได้น้อยลงด้วย หากที่ผ่านมารายจ่ายมันเกินรายได้มาตลอด รับแรงกระแทกไหวเหรอกับการที่เงินไม่พอใช้ พอย้อนถามกลับไปว่าถ้าทำงานน้อยลงแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาพอใช้ ก็ไม่เห็นเคยตอบได้สักที
ในทางกลับกัน ก็จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ตั้งใจใช้ชีวิตแบบที่ให้ความสุขส่วนตัวทางกายภาพน้อยลง แล้วเอาเวลาไปทุ่มเทให้กับงานมากขึ้น โดยคาดหวังที่จะประสบความสำเร็จให้มากกว่าเมื่อวาน มันก็เป็นไปได้ที่ความสำเร็จอาจเป็นความสุขของพวกเขาเหล่านั้น ขณะเดียวกัน คนกลุ่มนี้ก็บ้างานมากจนละเลยความสัมพันธ์รอบตัวเหมือนกัน ไม่เสียเวลาเจรจาเอาอกเอาใจหากไม่ทำให้เกิดประโยชน์ รวมถึงอาจจะสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัวจากการที่ไม่ค่อยจะถนอมน้ำใจใครด้วย และที่สำคัญคนข้างหลังก็เป็นฝ่าย “รอ” เหมือนกัน
Unlock My Boss เปิดเรื่องอีพีแรกด้วยเทคโนโลยีเลนส์วีอาร์ของบริษัทซิลเวอร์ไลนิ่ง เทคโนโลยีที่ “เราไม่จำเป็นต้องอ่านนิทานหรือดูภาพยนตร์แอนิเมชันอีกต่อไป ในเมื่อเราสามารถเป็นตัวละครจากเรื่องราวต่าง ๆ ได้เอง ได้พูดคุย ได้สัมผัส และได้ผจญภัยไปในโลกใบใหม่แม้นั่งอยู่ในห้องตัวเอง” CEO คนนี้กำลังพยายามเต็มที่ในการพัฒนาเทคโนโลยีตัวนี้ ในคืนหนึ่งที่เขากลับบ้านมาค่อนข้างดึก แล้วพบว่าลูกสาววัย 4-5 ขวบรอเขากลับบ้านเพื่อให้พ่อ “อ่านสโนไวท์ให้ฟัง” เขาปฏิเสธลูกสาวไปว่าพ่อยังมีงานต้องทำ แล้วให้แม่บ้านใช้แว่นวีอาร์เล่านิทานให้เด็กฟังแทนตัวเขา เด็กน้อยทำหน้าสิ้นหวังเดินจากไปพร้อมกับบ่นว่า “แต่หนูอยากให้พ่ออ่านให้ฟังนี่นา”
ในชีวิตของใครหลายคนเสพติดการทำงานจนเป็นนิสัย ซึ่งมันอาจจะทำให้ตัวเรารู้สึกว่าก็มีความสุขดีนะ รู้สึกตัวเองมีคุณค่า ได้ทำอะไรที่ให้ผลลัพธ์ดี ๆ แก่คนข้างหลัง แต่ในขณะเดียวกันก็หลงลืมที่จะใส่ใจดูแล “จิตใจ” ของคนที่ “รอ” อยู่อยู่ดี
แน่นอนล่ะว่าที่เราทำขนาดนี้ก็เพื่อดูแลทุกคนทางอ้อม ตอบสนองความต้องการทางกายภาพ อยากให้อยู่สบาย ๆ ตัวเราตายไปคนข้างหลังต้องไม่ลำบาก ต้องมีกินมีใช้ แต่ไม่เคยตอบสนองความต้องการทางจิตใจให้พวกเขาเลย บางทีพวกเขาอาจแค่ต้องการอยู่กับคนที่พวกเขารักบ้าง เหมือนเด็กน้อยที่แค่อยากนอนฟังนิทานในอ้อมกอดพ่อ แต่พ่อให้ไม่ได้ แล้วสุดท้ายเงินทองมากมายที่มีอยู่มันทำให้เด็กน้อยคนนี้ได้ความรักจากพ่อของเธอแค่ไหนกัน?
คุณมีสิทธิ์โดนแย่งงานได้นะ ถ้าคุณพิสูจน์ไม่ได้ว่าตัวเองเก่งกว่ามัน
“มัน” ในที่นี้หมายถึง “เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์” หรือที่เราเรียกกันเกร่อว่า AI นั่นล่ะ ซึ่งถ้าอิงตามข้อเท็จจริงจริง ๆ ไม่ใช่ในซีรีส์ หลายคนก็น่าจะรู้อยู๋แล้วว่าเกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีอย่างจริงจังและเห็นผลลัพธ์ไวมาก ข้อมูลการจัดอันดับโดย World Intellectual Property Organization (WIPO) ในปี 2021 การจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมระดับโลก 2021 พบว่าเกาหลีใต้ เป็นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยี สูงเป็นอันดับที่ 5 ของโลก ตามหลังสวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักรเท่านั้น และจากข้อมูลเดียวกันนี่เอง ทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศที่มีนวัตกรรมมากเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชีย
เป็นไปได้ว่ามีเทคโนโลยีหลายอย่างที่เราใช้อยู่โดยไม่รู้ว่ามาจากเกาหลีใต้ และที่น่าแปลกใจก็คือ หลายคนยังมองว่าเทคโนโลยีเป็นเรื่องไกลตัว โดยเฉพาะประเด็นที่มนุษย์เราอาจจะโดนแย่งงานโดยสิ่งที่ไม่มีชีวิตพวกนี้ แน่นอนว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วนในปีหรือสองปีนี้หรอก แต่ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองอันตรายที่จะตกงานบ้างเหรอ ที่ไม่รู้สึกหวั่น ๆ บ้างเลยนี่เป็นเพราะว่าไม่กลัวเทคโนโลยี หรือไม่รู้ว่ามันมีเทคโนโลยีแบบนี้บนโลกนี้กันแน่
ทุกวันนี้ เราสามารถใช้ AI สร้างร่างอวตารของเราขึ้นมาชนิดที่ว่าเหมือนจริงเป๊ะ ๆ หน้าเหมือนกันเพราะใช้ภาพหน้าเราไปทำ แถมเลียนเสียงเราได้ แค่ขอศึกษาเสียงและวิธีการพูดของเราจากเสียงที่อัดมาความยาวแค่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็พอ เร็วกว่าตอนที่เราหัดพูด เริ่มเรียนภาษาเพื่อให้อ่านออกเขียนได้ตั้งไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า และในอนาคต AI ต้องทำได้มากกว่านี้แน่ ๆ และโลกของการจ้างงานก็จะเป็นแบบที่ CEO พูด ว่าถ้าเราพิสูจน์ตัวเองไม่ได้ว่าเก่งกว่า AI ก็ไม่จำเป็นต้องมีคนทำงาน เพราะ AI ทำแทนได้
ซีรีส์เรื่องนี้ตั้งใจจะนำเสนอในประเด็นของนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างชัดเจน ขนาด CEO บริษัทเทคโนโลยีโดนลอบทำร้าย ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่หรือตาย แต่ดูเหมือนว่าวิญญาณของเขาจะถูกขังอยู่ในสมาร์ตโฟนสารพัดประโยชน์เครื่องนั้น เขาจึงสั่งการและควบคุมให้พระเอกสามารถเข้ามาเป็น CEO เฉพาะกิจแทนตัวเองได้ เพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่โดนทำร้าย นี่มองว่าต่อให้ CEO จะตายไปแล้วจริง ๆ สิ่งที่คอยบงการพระเอกอยู่ก็ไม่ใช่วิญญาณหรอก แต่เป็น AI ที่เขาเพียรพัฒนาขึ้นมาตลอดชีวิตมากกว่า ดูจากความอัจฉริยะของเขาที่ทำให้ AI ฉลาดได้ขนาดนั้น มองว่าเป็นไปได้ว่าไม่ใช่ผี และอนาคตเราอาจจะพูดคุยโต้ตอบกับคนที่ตายไปแล้วผ่าน AI เหมือนที่พระเอกทำนี่แหละ
ในซีรีส์เรื่อง Unlock My Boss มีการยกตัวอย่างสถานการณ์ที่มนุษย์เรามีโอกาสตกงานเพราะเทคโนโลยีหลายฉากมากทั้งที่เพิ่งออนแอร์ได้ 2 ตอน ครั้งแรกเกิดขึ้นกับนางเอกซึ่งเป็นเลขาของ CEO เป็นฉากที่เขาพูดกำหนดการนัดหมายภารกิจต่าง ๆ ในชีวิตตัวเองกับบาโร ซึ่งเป็น AI ในสมาร์ตโฟนของเขา ในขณะที่เลขาเดินตามหลังเฉย ๆ ไม่ได้จดบันทึกอะไร ไม่ตอบรับเออออกับคำสั่งเจ้านายด้วยเพราะรู้ว่าเจ้านายไม่ได้คุยกับตัวเอง หลังจากให้ AI ทวนนัดหมายต่าง ๆ อีกรอบว่าถูกต้องหรือไม่ เขาหันมาคุยกับนางเอกว่า “แย่แล้วสิ แบบนี้อีกหน่อยคงไม่ต้องมีเลขาที่เป็นคนแล้วมั้ง เลขาจองต้องหางานใหม่เตรียมไว้แล้วล่ะ” แต่พอนางเอกจริงจังเรื่องเตรียมลาออก เขาถึงบอกว่าแค่ล้อเล่น
ครั้งต่อมา เป็นการสนทนาของผู้บริหาร 2 คน ท่าน CEO ของเราพูดนิ่ม ๆ กับรองประธานบริษัทที่เป็นหุ้นส่วนกัน ว่าถ้าคุณไม่ทำอะไรสักอย่างกับ AI คุณจะเป็นคนตกยุค และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จะหายไปตามกาลเวลาเพราะถูกเทคโนโลยีกลืนกิน ต่อมาเป็นตอนที่ท่าน CEO คุยกับผู้ประกาศข่าวที่หนีออกมากินข้าวเที่ยง แล้วให้ AI ทำหน้าที่อ่านข่าวรายการสดแทน ถึงได้มีประโยค “คุณมีสิทธิ์โดนแย่งงานได้นะ ถ้าคุณพิสูจน์ไม่ได้ว่าตัวเองเก่งกว่ามัน” เกิดขึ้น และอีกครั้งตอนที่เขาอธิบายให้พระเอกฟังผ่าน AI เกี่ยวกับเสียงพูดของ AI ที่มีเสียงของซนฮึงมินให้เลือกใช้ ว่าเป็นเทคโนโลยีสร้างตัวอย่างเสียง แบบเดียวกับที่นำเสียงนักร้องที่ตายไปแล้วกลับมาร้องเพลงใหม่ล่าสุดให้เราฟัง
ความทันสมัยแบบสุดขั้วที่เราเห็นในซีรีส์เรื่อง Unlock My Boss นี้ไม่ได้เป็นเรื่องเกินจริงแม้แต่น้อย เพราะของจริงก็มีเทคโนโลยีแบบนี้ เพียงแต่ยังไม่แพร่หลายมากพอจนใคร ๆ ก็รู้จักเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ใครที่ตามไม่ทันก็มีสิทธิ์ตกงานไม่รู้ตัวได้ เป็นดารานักร้องก็ไม่รอด เพราะข่าวในแวดวงเทคโนโลยีที่ออกมาเมื่อวานนี้เอง บริษัท T-Town Digital Studio ได้เปิดตัว VAVA (วาวา) ซึ่งศิลปินที่สร้างด้วยเทคโนโลยี AI เสมือนมนุษย์จริงคนแรกของประเทศไทย (The 1st T-POP Realistic Virtual Artist) มาพร้อมกับทักษะการร้องเพลงและการเต้นอันโดดเด่น แถมมีความน่ารักสดใสและความเป็นธรรมชาติ ลองไปหาข่าวดู แล้วจะรู้ว่ามนุษย์อยู่ยากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
จากที่ดูมาแล้ว 2 ตอน บอกเลยว่าประทับใจกับพล็อตแปลกแบบการ์ตูนของซีรีส์เรื่องนี้มาก ดูเหมือนจะใช้จินตนาการแหวกกรอบนะ แต่เอาเข้าจริงเทคโนโลยีแบบนี้มันเกิดขึ้นจริงแล้วในชีวิตประจำวันของเรา เราแค่ไม่รู้เท่านั้นเอง พอเรื่องใหม่ ๆ แนวนี้ไปผสานกับปมปริศนาในอีกส่วน มันชัดเจนเลยว่าทั้งท่าน CEO และพระเอกจะต้องสื่อสารกันผ่านเทคโนโลยีเท่านั้น ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของมันสมองของท่าน CEO ที่สร้างให้บาโรฉลาดล้ำขนาดนี้
เพราะสิ่งที่เขาสร้างขึ้นนั่นเอง เขาจึงสามารถขอความช่วยเหลือจากพระเอกได้ ทั้งที่ตัวเองมีตัวตนเท่ากับโทรศัพท์หนึ่งเครื่องเท่านั้น ต้องหาคนร้ายที่ลอบทำร้ายท่าน CEO ให้เจอ จากกลุ่มคนรอบตัวที่ไม่มีใครไว้ใจได้สักคน ดูมีลับลมคมในกันหมด ไม่เว้นแม้แต่เลขาท่าน CEO อย่างนางเอกที่ต้องลุ้นว่าจะนางจะเป็นพวกใคร ผู้หญิงคนนี้อ่านยากเกินไป ถึงอย่างนั้น โอกาสที่จะไว้ใจเธอได้มันก็ 50-50 มาตามดูว่าเธอจะเป็นพันธมิตรที่พึ่งพาได้ที่สุดของพระเอกซึ่งเป็น CEO จอมปลอมกับท่าน CEO ตัวจริงที่ติดอยู่ในมือถือ หรือจะเป็นศัตรูตัวฉกาจกันแน่📱