Curtain Call ม่านการแสดงครั้งใหญ่ถูกเปิดออกแล้ว

ภาพจาก FB: KBS 드라마

ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้สูญเสียและความรู้สึกเศร้าสลดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อิแทวอนเกาหลีใต้เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ด้วยคอลัมน์นี้ขึ้นตอนกลางวันแต่เหตุการณ์เกิดช่วงกลางคืน เลยยังไม่มีโอกาสและพื้นที่ในการร่วมไว้อาลัยต่อเหตุการณ์นั้น และวันนี้ก็ถือเป็นวันไว้ทุกข์วันสุดท้ายที่ทางการเกาหลีประกาศ ยังดีที่ทันได้พูดถึงในคอลัมน์นี้ เพราะกว่า 80% เป็นซีรีส์เกาหลีทั้งนั้น ปกติเป็นคนที่ค่อนข้างเสพข่าวจากเกาหลีมากพอสมควร ข่าวนี้ถือเป็นข่าวที่ไม่อยากจะได้ยินเลยด้วยซ้ำไป ทำให้พาลนึกถึงเหตุการณ์เรือเซวอลด้วย ยิ่งหดหู่ไปกันใหญ่

เหตุการณ์ร้าย ๆ ผ่านไปได้ 1 สัปดาห์แล้ว แม้ว่าจะยังรู้สึกอึมครึมตามมูดแอนด์โทนจากทางฝั่งเกาหลี แต่ชีวิตเราก็ต้องเดินต่อ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา กิจกรรมบันเทิงต่าง ๆ ถูกยกเลิกไปจนหมด แม้แต่ละครของช่องหลักก็โดนงดฉายด้วย เป็นอันเข้าใจได้ แต่ก็ถือว่าแปลกเหมือนกันที่เรื่องใหม่แกะกล่องอย่าง Curtain Call ยังได้ออนแอร์ เพียงแต่ไม่มีงานเปิดตัวละครเหมือนกับเรื่องอื่น ๆ เท่านั้น

ภาพจาก FB: KBS 드라마

Curtain Call หรือชื่อเดิมว่า Trees Die on Their Feet และมีชื่อไทยในแอปฯ Prime Video ที่ถือลิขสิทธิ์ซับไทยอย่างถูกต้องว่า “พลิกบทบาททายาทหมื่นล้าน” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเปิดม่านการแสดงละครชีวิตครั้งใหญ่ของชายหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นนักแสดงละครเวทีโรงเล็ก ๆ เขาถูกว่าจ้างให้ไปเล่นละครสวมบทบาทเป็นหลานชายของหญิงชราชาวเกาหลีเหนือที่ลี้ภัยสงครามมาอยู่เกาหลีใต้ ในเหตุการณ์สงครามเกาหลีในปี 1950

แม้ว่าตอนที่หญิงชราพลัดพรากจากลูกชาย เขาจะยังเป็นเพียงเด็กแบเบาะ แต่ครั้งที่มีงานรวมญาติเกาหลีเหนือ-ใต้ในปี 2002 หรือเมื่อ 20 ปีก่อน เธอเคยได้เจอกับหลานชายพร้อมลูกชายแล้วครั้งหนึ่ง ในปีต่อมาเธอทราบว่าลูกชายตัวเองตายแล้ว แต่กลับหาหลานชายตัวเองไม่เจอ เธอจึงพยายามตามหาเด็กคนนั้นที่เกาหลีเหนือมาโดยตลอดทั้งที่แทบจะไม่รู้จักหลานตัวเอง จนอายุล่วงเลยเข้าสู่บั้นปลายชีวิต เธอจึงมีความปรารถนาที่จะได้พบกับหลานชายคนนี้ก่อนที่เธอจะตาย

ภาพจาก FB: KBS 드라마

พระเอกในฐานะที่รับงานแสดงละครฉากใหญ่มาแล้ว เขาจึงต้องปกปิดสัญญาจ้างงานในการแสดงละคร ไปพร้อม ๆ กับการพิสูจน์ความเป็นนักแสดงที่แท้จริงของตัวเอง ในการทำหน้าที่สร้างความสุขให้ผู้ชม แม้จะมีผู้ชมเพียงคนเดียวก็ตาม แต่ที่ยากก็คือเขาดันหลงรักหลานสาวที่แท้จริงของหญิงชราเข้าให้แล้ว และเธออาจมาขอความช่วยเหลือจากเขาด้วย เพราะเขามีประโยชน์ที่จะช่วยยื้อยุดเรื่องธุรกิจโรงแรมที่เธอมีมุมมองต่างกันกับพี่ชาย บทบาทของหลานชายกำมะลอจึงอาจมีผลต่อการรักษาโรงแรมแห่งนี้ไว้

สำหรับเราแล้ว ลูกค้าเท่าเทียมกันหมดค่ะ

ไม่รู้เหมือนกันว่าพอเรื่องเข้าสู่ช่วงที่น้ำเน่าประสาทแ_กถึงขีดสุด หลักการเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารธุรกิจโรงแรมที่ครอบครัวนางเอกกำลังดูแลอยู่จะหายไปเลยไหม ส่วนตัวชอบเวลาที่ซีรีส์ใส่รายละเอียดอะไรแบบนี้มา มันทำให้ดูแล้วอินขึ้นเยอะ จริง ๆ แล้ว ข้อความข้างต้นมีประโยคเต็ม ๆ ว่า “ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่เดินทางมาด้วยแท็กซี่ หรือลูกค้าที่ขับรถซีดานหรูหรา ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่มาพร้อมกระเป๋าเดินทางมูลค่า 28 ล้านวอน หรือนักศึกษาที่สะพายเป้ใบเดียวมูลค่า 28,000 วอน สำหรับแล้ว ลูกค้าเท่าเทียมกันหมด”

ภาพจาก FB: KBS 드라마

ชอบนะที่ซีรีส์ปูพื้นหลังให้นางเอกซึ่งเป็นทั้งหลานสาวของเจ้าของโรงแรมและเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ ต้องเรียนรู้วิธีการบริหารโรงแรมตัวเองโดยไม่มีใครบังคับ เธอทำของเธอเองเพื่อที่จะได้เรียนรู้ทุกแง่มุมของธุรกิจถ้าต้องบริหารมันจริง ๆ เธอจึงเริ่มต้นจากการเป็นพนักระดับล่างสุด (แม้ว่าซีรีส์เรื่องอื่น ๆ ก็เล่นลักษณะนี้เหมือนกันแทบทุกเรื่องก็เถอะ) เริ่มจากการเป็นเด็กเสิร์ฟ อย่างช่วงที่ต้องดูแลแขกระยะยาว เธอก็ยังสร้างตำนานได้ทิปวันละ 10 ดอล์ลาร์ทุกวันด้วย จากจุดต่ำสุด เธอค่อย ๆ สร้างโรงแรมที่งดงามแห่งนี้ขึ้นมาจากการที่เธอรู้เห็นทุกซอกทุกมุมว่าโรงแรมของตัวเองเป็นยังไง จนกระทั่งขึ้นมารับหน้าที่เป็นผู้จัดการทั่วไป เธอก็ยังคงเป็นมิตรกับพนักงานทุกระดับเหมือนเดิม

ภาพจาก FB: KBS 드라마

ที่เธอต้องทำแบบนั้น เพราะเธอคิดว่าเธอเองก็มีสิทธิโดยชอบธรรมในการสืบทอดกิจการ ในขณะที่พี่ชายคนโตก็จ้องแต่จะทำธุรกิจ มองว่าการขายโรงแรมทิ้งเป็นการทำเงินที่ดีที่สุด ส่วนพี่ชายคนกลางก็ไม่สนใจธุรกิจครอบครัว ในขณะที่เธอคิดเห็นตรงกันข้าม เธอไม่ได้เห็นโรงแรมเป็นแค่ธุรกิจที่ทำให้ครอบครัวมีกินมีใช้ แต่มันคือส่วนหนึ่งของครอบครัว อีกทั้งมันยังเป็นทั้งหัวใจและจิตวิญญาณของย่าของเธอด้วย ที่ทุ่มเทฟูมฟักขึ้นมา เธอจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะเก็บโรงแรมนี้ไว้ให้ได้และบริหารโรงแรมนี้ต่อไป ฉะนั้น เธอจึงต้องหยุดยั้งไม่ให้พี่ชายขายโรงแรมทิ้งให้ได้ก่อน

จะเห็นว่าการที่เธอไปเริ่มต้นจากจุดที่ต่ำที่สุดมาก่อน ทำให้เธอรู้ว่าหัวใจของการทำงานบริการมันไม่ได้มีอะไรยากเลย แค่มองว่าคนทุกคนต่างก็เป็นลูกค้าที่เอาเงินมาให้โรงแรมเหมือนกัน ลูกค้าทั้งหมดจึงเท่าเทียมกันที่จะบริการ ส่วนเงินในกระเป๋าลูกค้านั้น เขาสามารถใช้ซื้ออะไรในโรงแรมได้บ้างมันก็เรื่องของลูกค้า เพราะเรื่องค่าห้องพักระดับต่าง ๆ มันเป็นระบบของมันอยู่แล้ว เขาก็จะซื้อในราคาที่ตัวเองมีเงินจ่าย มันจึงเป็นอีกส่วนที่แยกออกไปจากการบริการทั่ว ๆ ไป เพราะการบริการที่ดี มันเป็นหน้าที่ที่ต้องบริการลูกค้าทุกคน โดยไม่ต้องคำนึงถึงเงินในกระเป๋าพวกเขา

หากคำโกหกถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความสุขของใครสักคน เราเรียกมันว่าอาชญากรรมหรือการต้มตุ๋นได้จริงเหรอ

พล็อตหลักที่สำคัญของเรื่องนี้ก็คือ “การโกหก” นั่นเอง การโกหกไม่ใช่เรื่องดี ใคร ๆ ก็รู้ และไม่ควรจะมีข้ออ้างใด ๆ สำหรับการโกหก รวมถึงมันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำผิดนั้นขั้นต่อ ๆ ไปอีกด้วย (มีซีรีส์ที่เกี่ยวกับการโกหก และจุดจบอันน่าเวทนาจากการโกหกคือเรื่อง Anna สามารถไปตามดูได้) ตามพุทธศาสนาถือว่าการโกหกนั้นผิดศีล 5 ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติขั้นพื้นฐานที่สุดที่จะทำให้ตัวเรามีความสุขและไม่เบียดเบียนคนอื่น ฉะนั้น ต่อให้ศาสนาไม่มีการกำหนดขึ้นเป็นหลักประพฤติปฏิบัติ ศีล 5 ก็ถือเป็นเครื่องบ่งชี้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามธรรมชาติอยู่แล้ว

ภาพจาก FB: KBS 드라마

แต่ทุกอย่างมีข้อยกเว้นเสมอ และเราก็มักจะยกเว้นให้กับโกหกที่มีเจตนาเพื่อ “ความสุข” หรือ “ความสบายใจ” ของใครสักคนเสมอเช่นกัน การโกหกที่เรารู้ว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี แต่ความไม่ดีจะถูกเข้าใจได้และได้รับการให้อภัยกี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่ากันไป เมื่อเจตนาของการโกหกไม่ใช่เจตนามุ่งร้าย หรือถ้าออกแนวโกหกด้วยเจตนาที่ดี เปอร์เซ็นต์การถูกเข้าข้าง ได้รับการให้อภัยก็จะยิ่งมีสูงขึ้นด้วย แต่สิ่งที่น่ากังวลก็คือ ถ้าลองได้โกหกแล้วครั้งหนึ่ง มันก็ต้องมีการโกหกครั้งต่อ ๆ ไปอย่างไม่มีทางจบสิ้นเพื่อเอาตัวรอดและรักษาทุก ๆ อย่างไว้ มันจึงอาจจะมีสักวันที่ล้ำเส้นมากเกินไป แล้วเราก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าก่อนหน้าเราจะตั้งใจโกหกเพื่อเจตนาที่ดีแค่ไหนก็ตาม

การโกหกในซีรีส์เรื่อง Curtain Call นับว่าเป็นการเปิดการแสดงโรงใหญ่เลยก็ว่าได้ ซึ่งเป็นการแสดงที่ผู้ชมจะต้องไม่มีทางรู้และห้ามรู้เด็ดขาดว่านี่คือการแสดง ผู้กำกับการแสดงจึงต้องคัดเลือกนักแสดงมืออาชีพมารับบทการเป็นทายาทที่ถูกทอดทิ้งอย่างน่าเศร้าสลดมาตั้งแต่เด็ก พระเอกของเราจึงต้องพลิกบทบาทจากการเป็นนักแสดงละครเวทีในโรงละครเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ชีวิตประจำวันก็ต้องทำงานพิเศษเยอะแยะมากมาย เพราะรายได้หลักไม่ค่อยจะพอใช้ ขึ้นมาเป็นทายาทอีกคนของหญิงชราเจ้าของโรมแรมที่ดีที่สุดในเกาหลี

ภาพจาก FB: KBS 드라마

การปรากฏตัวของพระเอกที่เป็นนักแสดงละครเวที กับบทบาทของการเป็นหลานชายจากต่างแดนของคุณย่าที่ใกล้จะตาย มีเจตนาที่ผู้กำกับเวทีบอกว่า “เพื่อเติมเต็มความปรารถนาสุดท้ายของหญิงชราที่เหลือเวลาอีกไม่มาก” กลายเป็นสิ่งที่พระเอกก็ยากที่จะปฏิเสธแม้ว่าตัวเขาเองจะได้ค่าตอบแทนอย่างงาม แต่เพราะเขารู้สึกว่ามันเป็นการหลอกลวงต้มตุ๋นมากกว่า ในขณะเดียวมันก็คือการช่วยเหลือให้หญิงชราคนหนึ่งได้มีความสุขในช่วงเวลาสั้น ๆ ของบั้นปลายชีวิต การแสดงของเขาจึงน่าจะช่วยให้เธอจากไปอย่างมีความสุข มากกว่าการจากไปแบบน่าเศร้า แบบที่เศร้ามาตลอดชีวิต

ระหว่าง 1 ปีที่ต้องติดอยู่ในห้วงเวลา กับ 3 เดือนที่ได้ก้าวไปข้างหน้า

จำได้ว่าซีรีส์เรื่อง If You Wish Upon Me ตอนจบ (จบดี จบประทับใจ แต่ก็น่าเศร้าไปหน่อย) มีตัวละครหลักตัวหนึ่งที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง เคยเข้ารับการรักษาด้วยการทำคีโมจนดีขึ้น เลยได้กลับมาใช้ชีวิตแบบปกติสุขช่วงหนึ่ง ก่อนที่ร่องรอยของโรคที่ยังคงหลงเหลืออยู่จะทำให้เขาทรุดลงอีกครั้ง และต้องเข้ารับการรักษาด้วยการทำคีโมเหมือนเช่นเดิม แต่ครั้งนี้ถึงจะรักษามาจนยังมีชีวิตรอด แต่มันก็เป็นชีวิตที่รอดมาอย่างประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น และร่างกายของเขาก็ไม่ได้กลับไปแข็งแรงดีเหมือนหลังการรักษาครั้งแรก และสุดท้ายเขาก็จากไปท่ามกลางความเสียใจของทุกคน

ภาพจาก FB: KBS 드라마

หลังจากที่ดูเรื่องนั้นจบไป จู่ ๆ ในใจก็คิดเองเออเอง คุยกับแม่ซื้อในจิตสำนึกของตัวเองคนเดียว ว่าถ้าเกิดวันหนึ่งตัวเราเองป่วยด้วยโรคร้ายแบบนั้นในระยะที่เตรียมนับถอยหลัง ฉันจะไม่ยอมเสียเวลาอันมีค่านับเดือนเข้าไปขลุกตัวอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ เพื่อรักษาตัวเองเด็ดขาด การรักษาที่ทั้งเจ็บปวด ทรมาน รวมถึงมีโอกาสที่จะสู่ขิตไประหว่างรักษาด้วย แถมค่าใช้จ่ายก็คงมหาศาลน่าดู ในเมื่อท้ายที่สุดคนเราต้องตายกันทุกคน รักษาตัวเองมาเพื่อยืดเวลาให้อยู่นานขึ้นมันก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนเดิม ฉันจะขอใช้เวลานั้นสนุกสนานกับชีวิตที่ยังมีอิสระมากที่สุด อยากทำอะไรก็จะรีบทำ อยากอยู่กับพ่อกับแม่ก็จะรีบไปหา ขอใช้ชีวิตแบบปกติธรรมดาที่เป็นมาทั้งชีวิตก่อนที่ตัวเองจะตายดีกว่า

อธิบายนิดนึงนะว่าที่จะตัดสินใจทำแบบนั้น ไม่ใช่เพราะไม่รักตัวเอง แต่แค่รู้สึกว่าเสียเงินเสียเวลารักษามามันก็ช่วยยืดเวลาให้เรายังมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นานเท่าไร (ย้ำว่าต้องเจอในระยะที่เกินกว่าจะรักษาให้หายขาด ถึงจะปฏิเสธการรักษา ถ้าระยะเริ่มต้นที่หายขาดได้ก็รักษาแน่นอน) แถมยังต้องไปใช้ชีวิตอุดอู้อยู่บนเตียงคนป่วยอีก เหมือนว่ามันจะเจ็บปวดทรมานเกินบรรยายด้วยเวลาทำคีโม (อันนี้ฟังเขามา) คืองี้นะ เป็นคนรักการนอนก็จริง แต่นอนป่วยเป็นผักแบบที่ลุกไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมไม่ได้ แค่ยันตัวขึ้นจากเตียงยังลำบาก แบบนั้นไม่เอาด้วยแน่นอน

ภาพจาก FB: KBS 드라마

เหมือนกับคุณย่าคนนี้แหละ ถ้าแกยังคงรักษาตัวต่อไป แกอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกประมาณ 1 ปี แต่การที่ต้องอยู่แต่ในโรงพยาบาล มันทำให้แกรู้สึกว่าเวลามันหยุดนิ่ง แกจึงเลือกที่จะยกเลิกวิธีการประคองชีวิตได้ 1 ปี กับเงื่อนไขที่ต้องอยู่แต่ในโรงพยาบาล ออกมาใช้ชีวิตอย่างอิสระแบบที่ตัวเองอยู่มาทั้งชีวิต แม้ว่าจะมีเวลาเหลืออยู่เพียง 3 เดือนเท่านั้น แกอายุมากและใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มานานพอแล้ว เพราะฉะนั้น เวลาที่ต่างกัน 9 เดือน มันไม่ได้มีความหมายอะไรอีกแล้ว จะช้าจะเร็ว สุดท้ายก็ตายเหมือนเดิม

จริง ๆ ตั้งแต่เปิดซีรีส์มาก็เริ่มมีกลิ่นอายของความน้ำเน่า อีกทั้งยังดูเชยมากเมื่อเทียบกับการออกฉายในปี 2022 อีกทั้งยังกลับไปเล่นประเด็นเรื่องเหนือใต้อีกครั้ง (ที่ปัจจุบันเหตุการณ์จริงก็กำลังเดือด) เลยทำให้หลายคนเตรียมเท เพราะมันไม่ว้าว มีเรื่องใหม่เรื่องอื่นที่มีแววว่าจะน่าดูกว่านี้ และเรื่องเก่าที่ยังออนแอร์อยู่ก็ทำมาตรฐานไว้ดีหลายเรื่อง แต่นี่ก็กะจะลองดูในสัปดาห์หน้าอีกสักสัปดาห์ว่าอีพีที่ 3 และ 4 จะมีความเข้มข้นอะไรมาจูงใจให้ลุ้นไปจนถึงอีพีที่ 16 ได้หรือไม่ ไม่เช่นนั้นก็คงได้หลับคามือถือให้ละครดูเรานอนแน่ ๆ ทว่าถ้าตามดูนักแสดงอย่างคังฮานึล และฮาจีวอนที่หายหน้าไปนานถึง 2 ปี ก็ประทับใจนะ เล่นดีแสดงขาด แต่ถ้าเรื่องไม่ส่งมันก็ทำใจลำบากที่จะดูต่อแหละ 🎭