
การยื่นภาษีเป็นการยื่นแบบเพื่อแจ้งรายได้และค่าลดหย่อนที่เรามีให้กับสรรพากรทราบ บางคนมีรายได้หลายทาง ภาษีที่หักไว้อาจจะน้อยกว่าที่จ่ายจริง เราจะต้องเสียภาษีเพิ่ม บางคนบริษัทหักภาษีสูงเกินจริงหรือเรามีค่าลดหย่อนอื่น ๆ เช่น ซื้อประกัน ดอกเบี้ยบ้าน กองทุนต่าง ๆ เราก็จะได้ภาษีที่หักไว้คืน
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคืออะไร?
กรมสรรพากรได้นิยามความหมายของคำว่า “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” คือ ภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลทั่วไป หรือจากหน่วยภาษีที่มีลักษณะพิเศษตามที่กฎหมายกำหนด และมีรายได้เกิดขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยปกติจัดเก็บเป็นรายปี รายได้ที่เกิดขึ้นในปีใด ๆ ผู้มีรายได้มีหน้าที่ต้องนำไปแสดงรายการตนเอง ตามแบบแสดงรายการภาษีที่กำหนดภายในเดือนมกราคมถึงมีนาคมของปีถัดไป
ใครมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา?
คนไทยทุกคนที่มีรายได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ มีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แบ่งเกณฑ์ตามสถานะโสดและสมรส โดยมีรายละเอียดดังนี้
- คนโสดที่มีรายได้เป็นเงินเดือน (ภ.ง.ด. 91) ตั้งแต่ 10,000 บาทต่อเดือน หรือ 120,000 บาทต่อปี รวมถึงคนโสดที่มีรายได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินเดือน (ภ.ง.ด. 90) ตั้งแต่ 5,000 บาทต่อเดือน หรือ 60,000 บาทต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นภาษี
- คนที่สมรสแล้วที่มีรายได้เป็นเงินเดือน (ภ.ง.ด. 91) ตั้งแต่ 18,333 บาทต่อเดือน หรือ 220,000 บาทต่อปี รวมถึงคนที่สมรสแล้วที่มีรายได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินเดือน (ภ.ง.ด. 90) ตั้งแต่ 10,000 บาทต่อเดือน หรือ 120,000 บาทต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นภาษี
ปัจจุบันต้องยอมรับว่า ประเทศไทยเข้าสู่ยุคที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหันมาให้ความใส่ใจคนวัยเกษียณกันมากขึ้น และออกมาตรการช่วยเหลือผู้สูงวัยในหลาย ๆ ด้าน รวมถึงด้านของ “ภาษี” ซึ่งปกติตามกฎหมายสำหรับผู้ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากใครที่มีรายได้เกิน 120,000 บาท มีหน้าที่ต้องยื่นภาษี และหากมีเงินได้สุทธิเกิน 150,000 บาท จะต้องเสียภาษีตามอัตราภาษีก้าวหน้า แต่ยกเว้นภาษีให้สำหรับผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปหากมีรายได้ไม่เกิน 190,000 บาท ไม่ต้องเสียภาษี
และช่วงนี้เป็นช่วงที่ผู้มีรายได้จะต้องยื่นแบบฯ ภาษีแล้วด้วย ภายในไม่เกินสิ้นเดือนมีนาคม หรือยื่นภาษีออนไลน์ ได้ถึงวันที่ 10 เมษายน 2566 ดังนั้น ใครที่อายุจะเข้า 65 ปี มาตรวจเช็กกันก่อนว่าคุณเข้าเกณฑ์ที่ได้ยกเว้นภาษีหรือไม่ หากไม่เข้าเกณฑ์ต้องทำอย่างไรบ้าง
เงื่อนไขยกเว้นภาษีสำหรับผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุในวัยเกษียณอายุการทำงาน หากมีรายได้ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษี ไม่ต่างจากคนหนุ่มสาวที่มีรายได้ แต่กฎหมายได้เอื้อประโยชน์ให้กับผู้สูงวัยในเรื่อของภาษีอายุ 65 ปีขึ้นไป โดยมีเงื่อนไขดังนี้
1. ผู้มีเงินได้มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และเป็นผู้ที่อยู่ในประเทศไทยครบ 180 วันในปีภาษีนั้น ให้ยกเว้นเงินได้ 190,000 บาท กล่าวคือ ในปีภาษี 2565 ผู้มีรายได้จะต้องมีอายุครบ 65 ปีในปี 2565 ก่อน จึงจะใช้สิทธิได้
2. ผู้มีเงินได้สามารถใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ในปีภาษีใดหลายประเภท จะเลือกใช้สิทธิยกเว้นประเภทใดประเภทหนึ่งก็ได้ หรือจะใช้สิทธิยกเว้นเงินได้จากเงินได้หลายประเภทก็ได้ แต่เมื่อรวมแล้วต้องไม่เกิน 190,000 บาท เช่น หักจากรายได้เงินบำนาญอย่างเดียว หักจากรายได้เงินค่าเช่าอย่างเดียว หรือหักทั้ง 2 ช่องทางรวมกันต้องไม่เกิน 190,000 บาท
3. หากมีคู่สมรสอายุ 65 ปีขึ้นไป ต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ ให้หักได้คนละ 190,000 บาท แต่ถ้ามีรายได้ร่วมกัน และอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี ให้สิทธิสามีได้ยกเว้นภาษีเท่านั้น
4. การใช้สิทธิยกเว้นภาษี ต้องแสดงรายการเงินได้ และจำนวนเงินที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินนั้นตอนยื่นภาษี
รายได้ผู้สูงอายุช่องทางไหนบ้าง ได้รับยกเว้นหรือต้องเสียภาษี
ในกรณีที่ผู้สูงอายุ หรือพนักงานวัยเกษียณ หากยังทำงานได้รับเงินเดือนอยู่ รายได้จากการทำงานประจำนี้ต้องยื่นภาษีด้วย โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดนิติบุคคลจ่ายค่าจ้างผู้สูงอายุไม่เกิน 15,000 บาท จะสามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า
นอกจากนี้ยังมีรายได้อื่น ๆ ที่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีและได้รับยกเว้น ซึ่งอธิบายได้ดังนี้
1. รายได้จากสวัสดิการ
- เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ นำไปรวมคำนวณภาษี
- เงินบำนาญข้าราชการ นำไปรวมคำนวณภาษี
- บำเหน็จ/บำนาญชราภาพ ได้รับการยกเว้น ถ้าเป็นตามเงื่อนไข
- กองทุนประกันสังคม ได้รับการยกเว้น ถ้าเป็นไปตามเงื่อนไข
- บำเหน็จดำรงชีพ ได้รับการยกเว้น ถ้าเป็นไปตามเงื่อนไข
2. รายได้อื่น ๆ
- ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ น้อยกว่า 30,000 บาท ได้รับการยกเว้น
- ดอกเบี้ยอื่น เงินปันผล ต้องนำไปรวมคำนวณภาษี หรือเลือก Final Tax โดยหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 15% สำหรับดอกเบี้ย และ 10% สำหรับเงินปันผล
- กำไรจาการขายหุ้น ได้รับการยกเว้นการขายในตลาดหลักทรัพย์
- เงินคืนประกันบำนาญ ได้รับการยกเว้นภาษี
- ช่องทางการยื่นภาษีสำหรับผู้สูงอายุ
หากผู้สูงอายุมีรายได้ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด จะต้องเริ่มยื่นภาษีประจำปี 2565 แล้ว ซึ่งสามารถยื่นแบบกระดาษได้ตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 31 มีนาคม 2566 ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาทุกแห่ง หรือยื่นเสียภาษีออนไลน์ได้ง่าย ๆ ผ่านช่องทางผ่านระบบ e-Filing เว็บไซต์สรรพากร หรือยื่นผ่านแอปพลิเคชั่น Rd Smart Tax สำหรับผู้เสียภาษีที่ถนัดใช้สมาร์ตโฟน ได้ถึงวันที่ 10 เมษายน 2566
ขั้นตอนการยื่นภาษีผ่านระบบ e-Filing
1. เข้าหน้าเว็บไซต์กรมสรรพากรที่ จะเจอข้อความที่เขียนว่า “ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 65 ตั้งแต่วันนี้ – 10 เมษายน 2566” ให้กดเข้าไป
2. เข้าสู่หน้า “ยื่นภาษีและชำระภาษีออนไลน์” สำหรับคนที่ยังไม่เคยยื่นภาษีให้กด “สมัครสมาชิก” และกรอกข้อมูลส่วนตัวก่อน ส่วนคนที่มี Username Password อยู่แล้วให้กด “เข้าสู่ระบบ”
3. กรอกเลขประจำตัวประชาชน/เลขประจำตัวผู้เสียภาษี
4. เลือกประสงค์ลงทะเบียนเพื่อ ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ระบุ ข้อมูลผู้เสียภาษี
5. ยืนยันตัวตนด้วยรหัส OTP ทางหมายเลขโทรศัพท์หรืออีเมล
6. กำหนดรหัสผ่าน/ยืนยันรหัสผ่าน เลือกคำถาม/คำตอบ 3 ข้อ เพื่อใช้ในกรณีที่ลืมรหัสผ่าน
7. อ่านและยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไข/ยืนยันการลงทะเบียน
8. เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้งาน (Username) และรหัสผ่าน (Password) ที่ตั้งไว้
9. กรอกข้อมูลรายได้และลดหย่อนต่าง ๆ ตามจริง
10. “ยืนยันการยื่นแบบ” ให้ผู้มีรายได้เช็กข้อมูลที่กรอกไปในแบบฟอร์ม หากข้อมูลถูกต้องให้กด “ยืนยันการยื่นแบบ” ระบบจะแจ้งยื่นแบบสำเร็จ
ดังนั้น ผู้สูงอายุที่มีรายได้อย่างนิ่งนอนใจว่าไม่ต้องเสียภาษี จำเป็นต้องเช็กเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ถี่ถ้วนหากตนเองไม่เข้าเกณฑ์ที่ได้รับยกเว้นภาษี ก็ต้องรีบวางแผนภาษีเพื่อยื่นภาษีให้ถูกต้องตามเวลาที่กำหนดด้วย เพราะภาษีเป็นหน้าที่ของผู้มีรายได้ทุกคน
ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมสรรพากร





























