คำอำลาฉบับ “เวทเทล” วิธีคิดแบบ “ของจริง”

ในช่วง Long Weekend ของเมืองไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งของวงการกีฬาในต่างประเทศคือการประกาศอำลาสนามของ เซบาสเตียน เวทเทล นักขับรถสูตรหนึ่งผู้ครองแชมป์โลกมาถึงสี่สมัย การประกาศอำลาของเวทเทล ในวัย 35 ปีนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกของวงการมอเตอร์สปอร์ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันรถแบบล้อเปิด ที่ต้องใช้ร่างกายและจิตใจอย่างหนัก

การประกาศอำลาของเวทเทล มีขึ้นในช่วงสัปดาห์ก่อนการแข่งขันฮังกาเรียน กรังด์ปรีซ์ จะเริ่มขึ้น ผู้เขียนได้เห็นข่าวนี้ผ่านสื่อออนไลน์ ได้อ่าน Statement หรือคำแถลงของเวทเทลทั้งหมด ก็ทำให้นึกถึงวันที่ เวทเทล เมื่อครั้งเป็นหนุ่มน้อยชาวเยอรมันในวัย 23 ปีที่คว้าแชมป์โลกรถสูตรหนึ่งกับทีม เรด บูลล์ เรซซิ่ง และสามารถคว้าแชมป์ได้ถึง 4 สมัยติดต่อกัน (2010-2013)

จำได้ว่าในช่วงเวลาของการขึ้นสู่ความสำเร็จนั้น มีสื่อบางสำนักตั้งฉายาให้กับ เวทเทลว่า “เบบี้ชูมี่” อันหมายถึง ความสำเร็จของเวทเทลนั้นคล้ายกับความสำเร็จของ มิคาเอล ชูมัคเกอร์ นักขับชาวเยอรมันเหมือนกัน…แต่คงไม่มีใครที่จะชอบให้เงาของคนอื่นมาทาบทับตัวเอง การตอบโต้กลับอย่างตรงไปตรงมากับผู้สื่อข่าวของ “The Guardian” เมื่อปี 2010 ว่า “ผมไม่ชอบฉายานี้เลย แต่ก็เข้าใจได้ว่าทำไมสื่อถึงพยายามจะให้ฉายานี้กับผม”

การอยู่ในเงาของคนอื่นไม่ใช่เรื่องสนุกเลยไม่ว่าจะในวงการไหน แต่เวทเทลก็ได้พิสูจน์ให้เห็นกับความสำเร็จในฐานะนักขับรถสูตรหนึ่งที่อายุน้อยที่สุดที่คว้าแชมป์โลกได้ติดต่อกันสี่สมัย และฉายาเบบี้ชูมี่ ก็หายไปจากหน้าสื่อ… มันคือการเอาความสำเร็จปิดปากผู้คนที่จ้องจะวิพากษ์วิจารณ์ยุคนี้ได้อย่างดีทีเดียว

การเดินทางของเวทเทลถึงเวลานี้นั้นมากกว่าหนึ่งทศวรรษ ความสำเร็จของเขาไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว เวทเทลกล่าวในแถลงอำลาเอาไว้ว่า ในชีวิตเขายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องกลับไปทำให้สำเร็จเหมือนกับที่ประสบความสำเร็จในสนาม คือการดูแลครอบครัว ทำหน้าที่ในฐานะสามี และพ่อของลูก ชีวิตนักขับอาจเหมาะกับเขาในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ในปัจจุบันที่มีคลื่นลูกใหม่พร้อมจะพิสูจน์ผลงาน เวทเทลมองว่าถึงเวลาที่เขาต้องหลีกทางให้คนเหล่านี้ได้สร้างผลงานเช่นกัน

และในย่อหน้าสุดท้ายของแถลงอำลาวงการของเวทเทลนั้น แสดงให้เห็นคนที่ตกผลึกแล้วทางความคิด และมองโลกอย่างที่มันเป็นมากกว่าจะพยายามให้โลกเป็นอย่างที่อยากให้เป็น เวทเทลเขียนเอาไว้ว่า

“เส้นทางการแข่งขันที่ดีที่สุดของผมนั้นยังคงมีอยู่ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในสนามแข่ง หากชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป และ เวลาของชีวิตยังคงทอดยาว ผมต้องการที่จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา การกลับไปมองอดีตมีแต่จะทำให้ให้คุณเดินไปข้างหน้าได้ช้าลง”

“ผมเชื่อในการเดินไปข้างหน้า แม้ว่าจะเป็นเส้นทางการแข่งขันที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย แต่มันคือความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง ผมเชื่อว่าความสำเร็จที่ผมทิ้งเอาไว้ในสนามแข่งจะคงอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งกาลเวลาจะพัดพาให้คนใหม่เข้ามา และความสำเร็จดังกล่าวจะถูกแทนที่ด้วยนักแข่งหน้าใหม่ และวันพรุ่งนี้จะเป็นของคนที่พร้อมที่สุดในวันนี้”

คำกล่าวของเวทเทลเป็นสัจธรรมนะคะ เพราะไม่เพียงแต่ในวงการรถสูตรหนึ่ง แต่ในทุก ๆ วงการ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นเรื่องปกติโลก หากยึดติดในปัจจุบัน และโหยไห้กับอดีตมากเกินไป ก็จะเป็นอย่างที่ เซบาสเตียน เวทเทล กล่าวเอาไว้ว่า “มีแต่จะทำให้คุณเดินไปข้างหน้าได้ช้าลง”

คำแถลงอำลาของเวทเทล แสดงให้เห็นวิธีคิดที่ทำให้ผู้เขียนนึกถึงรุ่นพี่ในวงการหลายท่านที่ยังคงแสวงหาความท้าทายอยู่ตลอดเวลา พวกเขาอยู่ในสถานะที่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีกต่อไปแล้ว หากทำงานด้วยความสนุกและ พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง พวกเขาไม่ได้ยึดติดกับชื่อเสียงในอดีต และพร้อมลุยเสมอเมื่อได้เจอกับความท้าทายใหม่ ๆ

ขณะเดียวกัน ผู้เขียนก็เห็นอีกหลายคนในแวดวงที่ยังคงโหยไห้กับอดีตประเภทกลับไม่ได้ไปไม่ถึง และปัจจุบันก็พยายามจะเติมเต็มส่วนที่ขาดวิ่น ด้วยการวิ่งตามความสำเร็จแบบชั่วคราว ดำเนินชีวิตแบบน้ำเต็มแก้ว และเชื่อว่าโลกหมุนรอบตัวเอง คนเหล่านี้ผู้เขียนไม่เคยเห็นเขามีความสุข ที่เรียกว่า “สุข” ได้จริงจากแววตา ขณะที่ใจก็ร้อนรนไปด้วยความรู้สึกหวาดระแวงเพราะหวงแหนเชื่อเสียงชั่วคราวเหล่านั้น

เรื่องราวของ เซบาสเตียน เวทเทล สำหรับผู้เขียนนั้นไม่ใช่แค่ข่าวใหญ่หนึ่งข่าว หากแต่ทัศนคติและวิธีการสื่อสารออกมาทางตัวอักษรของเวทเทลนั้น ทำให้ผู้เขียนรู้สึกได้ถึงวิธีคิดแบบมืออาชีพ และอยากให้ใครหลายคนที่กำลังติดอยู่ในหล่มของชื่อเสียงได้ลองอ่านแถลงอำลาของเวทเทล เผื่อจะได้รู้ว่า “ของจริง” เขาคิดกันอย่างไร

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ