“โตขึ้นอยากเป็นอะไร” เป็นคำถามที่เราทุกคนน่าจะเคยถูกถามเหมือนกันหมดสมัยที่ยังเป็นเด็กหรือเป็นนักเรียน ไม่ว่าจะที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือที่ไหน นี่ก็เป็นคำถามยอดฮิตที่เด็ก ๆ มักจะถูกถามอยู่เสมอ ดีไม่ดีอาจถูกถามเปิดบทสนทนาด้วยซ้ำ ซึ่งโอกาสที่จะถูกถามด้วยคำถามนี้จะทวีคูณขึ้นไปอีกในวันรวมญาติ สำหรับใครหลายคน “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” จึงกลายเป็นคำถามที่ค่อนข้างน่ารำคาญและทำให้หงุดหงิดเวลาที่ได้ยิน แม้ว่าทุกวันนี้ตัวเราในวัยผู้ใหญ่อาจไม่ต้องตอบคำถามนี้อีกแล้ว แต่ก็ถึงขั้นเบะปากมองบน เวลาที่ได้ยินใครสักคนกำลังถามเด็กคนหนึ่งด้วยคำถามนี้อีกครั้ง
อยากให้ลองนึกถึงคำตอบที่เราใช้ตอบบรรดาคนที่ตั้งคำถามนี้เมื่อครั้งที่เรายังเป็นเด็กดู จำได้หรือไม่ว่ามันจะมีอยู่แค่ไม่กี่อาชีพเท่านั้นแหละที่จะตอบได้ อาชีพที่ตอบไปแล้วได้รับการยอมรับจากผู้ใหญ่คนที่ตั้งคำถาม เช่น อยากเป็นหมอ อยากเป็นพยาบาล อยากเป็นทหาร อยากเป็นตำรวจ อยากเป็นครู อยากเป็นวิศวกร อยากเป็นทนายความ อยากรับราชการ วนเวียนอยู่แค่นี้ อันที่จริงปฏิกิริยาที่ผู้ใหญ่พึงพอใจกับคำตอบก็ดีกว่าการที่มีอีกคำถามสวนกลับมาว่า “แล้วมันคืออะไรเหรอ” ซึ่งเราก็ต้องมาอธิบายยืดยาวอีกว่าสิ่งที่เราอยากเป็นเมื่อโตขึ้นนั้นมันคืออะไร
ในความเป็นจริง อาชีพที่ทำแล้วได้เงิน บนโลกใบนี้มีอยู่ร้อยแปดพันอย่าง แต่เพราะอะไรตัวเราในวัยเด็กถึงตอบออกไปได้แค่ไม่กี่อาชีพ แล้วเด็กส่วนใหญ่ก็จะวนตอบอยู่แค่นี้จริง ๆ นี่คือสิ่งที่น่าสนใจ และอีกประเด็นที่น่าสนใจนอกเหนือจากที่ว่าทำไมเราถึงได้รู้จักกันอยู่แค่ไม่กี่อาชีพ ก็คือคำตอบที่เด็กตอบว่า “อยากเป็น…” นั้น มันเป็นความต้องการของเด็กที่อยากจะประกอบอาชีพนั้นจริง ๆ หรือเปล่า หรือเบื้องหลังมีผู้ใหญ่คอยหล่อหลอมและขีดเส้นทางให้เดินมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ว่าหนูควรจะประกอบอาชีพนี้
เรียนเพราะพ่อแม่ขอให้เรียน เป็นเพราะพ่อแม่ขอให้เป็น
หลาย ๆ บ้าน เด็กไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกเองว่าพวกเขาอยากเรียนอะไรและอยากเป็นอะไร หากไม่ใช่การบังคับไปเลยว่าลูกต้องเรียนสายการเรียนนี้ เรียนคณะนี้ จบออกมาทำอาชีพนี้ ก็จะมารูปของการขอร้อง เริ่มตั้งแต่การกรอกหูเช้าสายบ่ายเย็น ว่าถ้าลูกเรียนตามนี้แล้วจะมีข้อดีอย่างไร โดยที่ไม่เคยพูดถึงข้อจำกัดในการเรียนสายนั้น ไม่เคยถาม หรือไม่แม้แต่จะประเมินความสามารถของลูกตัวเองว่าถ้าเรียนจริง ๆ พวกเขาจะไปได้ไกลแค่ไหน จะไหวไหม หรือมีอะไรที่เหมาะกับพวกเขามากกว่าสิ่งที่พ่อแม่อยากให้เรียนไหม
กรณีที่พ่อแม่ขอร้อง (หรือบังคับ) ให้ลูกเรียนในสิ่งที่พ่อแม่เลือก โดยตั้งใจว่าเมื่อลูกจบออกมาก็จะให้ลูกประกอบอาชีพตามที่พ่อแม่กำหนดไว้ให้เหมือนกัน นี้ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากความฝันที่ “อยากจะเป็น” ของคนเป็นพ่อแม่เอง เป็นความฝันที่ตัวเองเคยพลาดโอกาสไปไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม จึงให้ลูกช่วย “เติมเต็ม” สิ่งที่ตัวเองขาดหายไปในวัยนั้น โดยคิดว่าเป็นทางที่ดีที่สุดที่ตนเองจะทำเพื่อลูกได้ พร้อมทั้งแปะป้ายโอกาสที่มอบให้ลูกว่าเป็น “ความหวังดี” ไม่อยากให้ลูกลำบากเหมือนตนเอง ทั้งที่ฝันของคนเป็นพ่อเป็นแม่นั้นอาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่ลูกฝันด้วยซ้ำ
และอีกกรณี บ้างบ้านยึดติดกับค่านิยมที่ว่าพ่อแม่ทำอาชีพอะไรก็อยากให้ลูกทำอาชีพเพื่อสืบทอดวัฒนธรรมเดิม ๆ ของครอบครัว เช่น หลาย ๆ บ้านที่ทั้งพ่อและแม่เป็นหมอ เมื่อมีลูกก็อาจจะอยากให้ลูกเป็นหมอด้วย เพื่อที่คนนอกมองเข้ามาก็จะชื่นชมว่าเป็นหมอกันทั้งบ้าน กรณีนี้หากลูกเดินแหวกแนวไปเรียนสายศิลป์หรือตั้งใจประกอบอาชีพอื่นที่ไม่ใช่หมอ สายตาจากป้าข้างบ้านก็จะกลับตาลปัตรเป็นอีกแบบ กลายเป็นว่าเด็กคนนี้แหกคอกบ้าง บ้านนี้เขาเลี้ยงลูกยังไงถึงทำให้ลูกเป็นหมอเหมือนตัวเองไม่ได้ ทำอาชีพอื่นจะมั่นคงเหรอแล้วสุดท้ายต้องกลับมาพึ่งพ่อแม่หรือเปล่า หรือเด็กมันไม่เก่งหรือไงก็เลยเป็นหมอแบบพ่อแม่ไม่ได้ น่าเสียดายนะพ่อแม่เป็นถึงหมอ อะไรเทือก ๆ นี้
แล้วทำไมเด็กถึงไม่สามารถเลือกทางเดินของตัวเองได้ การที่เด็กถูกพ่อแม่หล่อหลอมความคิดมาตั้งแต่จำความได้ว่าโตขึ้นต้องทำอาชีพนี้ พยายามยัดเยียดหนทางทุกทางเพื่อที่จะนำลูกไปสู่อาชีพนั้นให้ได้ ให้เรียนเสริม เรียนพิเศษ เรียนในสิ่งที่คิดว่าจำเป็นต่อการประกอบอาชีพนั้น กลายเป็นว่าเด็กหลาย ๆ คนโดนขโมยช่วงชีวิตในวัยเด็กไปจนหมด ไม่ได้เล่นอะไรแบบที่เพื่อน ๆ เล่น ไม่ได้ทำอะไรในแบบที่เพื่อนวัยเดียวกันได้ทำ และยังโดนขโมยจินตนาการและความฝันไปด้วย เพราะพวกเขาแทบจะไม่ได้เรียนรู้ชีวิตในด้านอื่น ๆ นอกจากด้านที่พ่อแม่อยากให้เป็น ฉะนั้น ความฝันที่อยากจะประกอบอาชีพนั้น ๆ มันก็อาจจะไม่ใช่ความฝันของตัวเด็กเอง แต่โดนพ่อแม่ยัดใส่หัวมาแล้ว
พ่อแม่อาจต้องกลับไปพิจารณาอีกครั้ง ว่ามันถูกต้องแล้วหรือเปล่าที่จะเอาความฝันหรือความต้องการของตนเองเข้าไปครอบงำชีวิตของลูก ทั้งที่ชีวิตเป็นของพวกเขา ทำไมพวกเขาถึงไม่มีสิทธิ์ที่จะมีความฝันเป็นของตัวเอง ทำไมจึงต้องพรากชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขาไปด้วยการให้พวกเขาทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้อยากทำ ซึ่งพวกเขาอาจต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับสิ่งที่พ่อแม่กำหนดไปตลอดชีวิต ทำไมถึงไม่ให้โอกาสพวกเขาได้ฝันในสิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ ไม่ใช่ความฝันที่พ่อแม่อยากจะให้เป็น เพราะแต่ละคนต่างมีความฝันต่างกัน ความชอบหรือไม่ชอบก็ต่างกัน
หน้าที่พ่อแม่ไม่ใช่การเป็นเจ้าของชีวิตลูก
ส่วนใหญ่แล้วพ่อแม่มักจะมีความคิดว่าตนเองคือ “เจ้าของชีวิตลูก” ด้วยเหตุผลที่ตัวเองเป็นพ่อเป็นแม่ของพวกเด็ก ๆ เท่านั้น โดยลืมไปว่าคุณไม่ได้อยู่เลี้ยงพวกเขาได้ตลอดไป ในวันที่พวกเขาเติบโต พวกเขาก็แค่อยากจะมีความสุขในสิ่งที่ตัวเองรักและเลือกเอง แต่หลาย ๆ คนกลับถูกพรากความสุขไปตั้งแต่ที่พ่อแม่ดับฝันพวกเขากลางอากาศ แล้วยัดเยียดเอาสิ่งที่ตัวเองอยากจะเป็นเองให้ลูกเป็นแทนแล้ว อยากจะเห็นพวกเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนหุ่นเชิดที่พ่อแม่คอยบังคับอยู่เบื้องหลัง คุณอาจจะไม่รู้ตัวว่าคุณอาจจะกำลังทำร้ายจิตใจและทำลายชีวิตลูกของตัวเองอยู่
ส่วนคนเป็นลูก พวกเขาต้องแบกรับความทุกข์ทรมานไว้มากแค่ไหน ในเมื่อพวกเขาถูกทำร้ายจิตใจจากคนที่พวกเขารักมากที่สุด กลายเป็นปมในใจที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่า “ชีวิตที่พ่อแม่ให้เกิดมา เป็นชีวิตที่ไม่รู้ว่าคุณค่าคืออะไร เพราะไม่เคยได้มีสิทธิ์เลือกอะไรสักอย่าง ไม่มีสิทธิ์แม้แต่การเลือกเรียนในสิ่งที่ถนัด สิ่งที่ชอบ และไม่ได้ประกอบอาชีพที่อยากเป็น กลับโดนบังคับให้เรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากเรียนจนจบ บางคนหมดความอดทนแค่เรียนจบในสายที่พ่อแม่ขอร้อง โดยถือว่าตัวเองทำตามความต้องการของพ่อแม่แล้ว แต่เปลี่ยนสายงานไปเป็นอย่างอื่น จะไม่ทำตามสิ่งที่พ่อแม่ต้องการอีกต่อไปแล้ว เพราะไม่มีความสุข
ไม่เพียงเท่านั้น ชีวิตที่ถูกครอบงำและควบคุมโดยพ่อแม่มาตลอดตั้งแต่เด็กจนโต ยังส่งผลต่อบุคลิกภาพของลูกด้วยเช่นกัน กลายเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจที่จะทำอะไรด้วยตนเอง ตัดสินใจไม่ได้ เพราะมักจะถูกตั้งคำถามเสมอเมื่อตัดสินใจทำอะไรลงไป และกลายเป็นว่าสิ่งที่ตัดสินใจกลายเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องไป
อภิสิทธิ์ของ “ฉันเป็นคนเลี้ยงแกมานะ!” เป็นการใช้อำนาจที่แสดงว่าตนเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่า ทุกอย่างที่ตัวเองคิดคือดีทุกอย่างถูกทั้งหมด คนเป็นเด็กกว่าไม่มีประสบการณ์จะมารู้อะไร และมักจะชอบออกคำสั่งหรือตัดสินใจแทนลูกเสมอ โดยไม่เคยถามความต้องการ หรือพยายามจะเข้าใจเหตุผลของลูกหากลูกปฏิเสธที่จะทำ ทั้งที่ลึก ๆ แล้ว ลูกทุกคนหวังให้พ่อแม่เป็นที่พึ่งทางใจ เป็นที่ปรึกษา ไม่ใช่เป็นเจ้าชีวิต
หน้าที่ของคนเป็นพ่อเป็นแม่ จึงทำได้เพียงแนะนำและสนับสนุน ความหวังดีที่อยากเห็นลูกมีความมั่นคงทั้งทางอาชีพและชีวิตคือสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนต้องการก็จริง แต่พ่อแม่ก็ต้องเข้าใจว่าความมั่นคงมันควรเกิดจากการที่เด็ก ๆ พยายามสร้างขึ้นมาเองจากสิ่งที่พวกเขาถนัด ชื่นชอบ และโจทย์ชีวิตที่แตกต่างไปตามยุคสมัย ความมั่นคงจึงไม่ใช่อาชีพที่พ่อแม่อยากจะให้พวกเขาเป็น และพวกเขาอาจจะไม่ได้อยากได้ความมั่นคงแบนนั้นด้วย
เพราะฉะนั้น สิ่งที่พ่อแม่พยายามประเคนให้ลูกทั้งที่ไม่เคยถามว่าลูกต้องการหรือไม่ หรือแม้แต่ลูกไม่ต้องการก็ไม่เลิก มันคือ “การยัดเยียด” ไม่ใช่ “ความหวังดี” การนำความฝันของตนเองมาตั้งเป้าหมายให้กับลูก เพื่อหวังให้ลูกเป็นอย่างที่ตัวเองต้องการ มันคือการทำลายชีวิตลูกอย่างหนึ่งโดยที่พ่อแม่ก็ไม่รู้ตัว ในวันที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่กับพวกเขาแล้ว พวกเขาอาจต้องอยู่กับสิ่งที่พ่อแม่ยัดเยียดมาให้ทั้งที่รู้สึกเกลียดไปตลอดชีวิตก็ได้
พ่อแม่แค่ค้นหาศักยภาพของลูกตัวเองให้เจอก็พอ แล้วถามพวกเขาด้วยว่าอนาคตของพวกเขา ตั้งใจจะให้มันเป็นอย่างไรโดยไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง แนะนำเท่าที่ทำได้ หากพวกเขาปฏิเสธก็ตามนั้น หันมาสนับสนุนในสิ่งที่พวกเขาชอบ สิ่งที่อยากทำ และสิ่งที่อยากเป็น ดีกว่าการบังคับให้พวกเขาเป็นอย่างที่ตัวเองต้องการ ช่วยหาแรงบันดาลใจ และให้กำลังใจอย่างสุดทาง แล้วคุณจะได้รู้ว่าความสุขจริง ๆ ไม่ใช่การที่บังคับให้ลูกเป็นอย่างที่ตัวเองต้องการสำเร็จ แต่มันคือการที่เห็นลูกมีความสุขต่างหาก
ทุกวันนี้ มีเด็กหลายคนที่ยังค้นหาตัวเองไม่เจอว่าตัวเองต้องการอะไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่จะฉวยโอกาสนี้ยัดเยียดความต้องการของตัวเองให้พวกเขา แค่แนะนำแล้วให้พวกเขาไปพิจารณาเองก็พอ และพยายามเปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่พวกเขาจะได้ลองผิดลองถูกจนกว่าจะเจอสิ่งที่ตัวเองต้องการ มีข้อมูลไว้ใช้พิจารณา และเพื่อประกอบการตัดสินใจ หากสิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ตรงกับที่พ่อแม่ต้องการ ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ลูกเลือกให้ได้ อย่าตัดสินว่าดีหรือไม่ดี หรือมองว่าไร้สาระ ผิดพลาดก็คอยให้กำลังใจและสนับสนุนต่อไปจนกว่าพวกเขาจะทำมันได้สำเร็จ พึงคิดไว้เสมอว่าการเลี้ยงลูกในแบบที่พ่อแม่คิดว่าดีที่สุด มันอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อลูกเสมอไป





























