โลกไม่ได้ร้ายอย่างที่คิด ถ้าคุณรู้จัก “บี แหลมสิงห์”
คุณผู้อ่านเคยรู้สึกไหมคะว่าโลกนี้ มันแคบ ถ้าได้รู้จักคนหนึ่งคนแล้ว นับไปนับมาไม่กี่ทีก็จะเจอคนที่เรารู้จักผ่านวงกลมความสัมพันธ์ของอีกคนหนึ่ง ดังเช่นทฤษฎีวงกลมความสัมพันธ์ของฝรั่งที่ว่าเอาไว้ว่า คนหนึ่งคน จะมีคนรู้จักประมาณ 300 คน และใน 300 คนนั้นก็จะรู้จักเพิ่มขึ้นไปอีก และในปัจจุบันโลกก็ได้แคบลงไปอีกหลังจากมีสื่อสังคมออนไลน์ (โซเชียล มีเดีย) ทำให้คนที่เคยเป็นเพื่อนกันตอนประถม รู้จักกันตอนมัธยม เคยเป็นแฟนตอนมหาวิทยาลัย ได้โคจรมาพบกันอีกครั้ง
ที่มาชวนคุณผู้อ่านคุยเรื่อง โลกมันแคบ นี้เพราะเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสโคจรมาเจอน้องที่เคยทำงานร่วมกันตามทฤษฏีวงกลมความสัมพันธ์ผ่านทางโซเชียลมีเดียอย่าง ทวิตเตอร์ น้องคนนั้นคือ “บี แหลมสิงห์” หรือ สยามพงษ์ ผลมาก นักข่าว คอลัมนิสต์ฟุตบอล นักจัดรายการวิทยุเอฟเอ็ม 99 และอีกหลากหลายสถานะในวงการสื่อที่ บี ดำรงตนอยู่ นับเป็นการโคจรมาพบกันในวันที่ผู้เขียนกำลังเซ็งอารมณ์กับเรื่องราวรอบตัว
แค่นั่งอ่านไทม์ไลน์ของ บี แหลมสิงห์ ก็ทำให้ได้อมยิ้มไปกับความฮาที่มีสาระน้องคนนี้ ซึ่งผู้ที่ติดตามฟุตบอลทั้งไทยและเทศต่างก็ยกให้ “บี” เป็นพี่เต้ยของวงการเพราะรู้จริง รู้ละเอียด รู้ไปหมดทุกซอกทุกมุม แถมไม่ได้รู้อยู่คนเดียว เพราะความรู้ของบี นั้นถูกถ่ายทอดผ่านรายการวิทยุ คอลัมน์ บทความ รายการโทรทัศน์ เฟซบุ๊ค รวมไปถึงทวิตเตอร์ ของเจ้าตัวที่ทำให้ผู้เขียนได้มีโอกาสมาติดตามน้องคนนี้อีกครั้งหลังห่างหายกันไปพักใหญ่
ความสนุกของบี แหลมสิงห์ ยังคงเป็นลายเซ็นที่ชัดเจนผ่านตัวอักษรของเขา แม้จะมีพื้นที่ให้แค่ 140 อักขระ แต่บี แหลมสิงห์ ก็คือ บี แหลมสิงห์ คนที่เขียนข้อความบรรยายตัวเองในทวิตเตอร์ว่า “อยากเป็นนักเขียน แต่ดันเรียนเป็นนักข่าว” แล้วก็ให้ได้หวนนึกถึงวันที่ บี เคยมาร่วมงานกับผู้เขียนสมัยที่ยังอยู่ในสังกัดของ เอเอสทีวี “บี” มาในฐานะของผู้บรรยายฟุตบอลบุนเดสลีก้า เยอรมัน คู่กับ “คุณปั๊ม” ธันยเดช เกียรติศิริ เจ้าของคอลัมน์ หลุดกรอบกีฬา ใน The Mentors นี่แหละโดยมีคุณธีรพัฒน์ อัครเศรณี บอสใหญ่ของต้นคิด มีเดีย ที่ในสมัยนั้นอยู่ในฐานะ บรรณาธิการข่าวกีฬาของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และ เมเนเจอร์ออนไลน์ เป็นผู้ชักชวน “บี” ให้มาสร้างสีสัน
แน่นอนว่าชื่อของ “บี แหลมสิงห์” ไม่ทำให้ผิดหวังทั้งข้อมูลผู้เล่น ข้อมูลทีม น้ำเสียง จังหวะในการพากย์ รวมไปถึงความสนุกที่ทำให้คนดูติดตามฟุตบอล บุนเดสลีก้า ผ่านทางเอเอสทีวี ในช่วงเวลานั้นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ในระหว่างนั้นผู้เขียนมีโอกาสได้คุยกับ บี ก่อนที่จะเข้ารายการค่อนข้างบ่อย มีอยู่ครั้งหนึ่งระหว่างที่นั่งคุยถึงพี่คนนั้นน้องคนนี้ตามประสานักข่าวช่างเม้าส์ของตัวเอง ก็ได้มีโอกาสถามบี ว่า “เป็นนักข่าวแล้วช่วยการพากย์ได้เยอะไหมบี” เจ้าบีตอบได้อย่างน่าสนใจว่า
“ต้องบอกว่าเป็นนักข่าวกีฬาแล้วช่วยในเรื่องพากย์ได้เยอะพี่ เพราะเราต้องติดตามข่าวตลอดเวลา แต่มันไม่ใช่แค่นั้นนะพี่ เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าตัวเองรู้เรื่องฟุตบอลเยอะ การทำงานไม่น่าจะยากแต่พอลงสนามข่าวจริงๆแล้วไม่ใช่ จนกระทั่งพี่ที่เป็นนักข่าวรุ่นใหญ่คนหนึ่งสอนผมว่า ถ้าจะทำข่าวกีฬาจะรู้เฉพาะเรื่องฟุตบอลอย่างเดียวไม่ได้เราต้องรู้ทุกกีฬาและต้องสนใจเรื่องอื่นๆนอกเหนือจากข่าวกีฬาด้วยเพราะมันจะทำให้เรามองเนื้อหาได้กลมขึ้น พอได้ฟังแบบนั้นนะพี่ผมนี่เปลี่ยนมุมมองเลย”
จากการคุยกันในวันนั้นและในอีกหลายๆครั้งทำให้ผู้เขียนรู้สึกได้ว่า น้องคนนี้มีของ และคงไปได้ไกลโดยไม่ต้องมีคนดัน ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง เพราะปัจจุบันชื่อของบี แหลมสิงห์ ในทวิตเตอร์ นั้นมีคนติดตามเกือบแสน ส่วนเฟซบุ๊คนั้นเรือนหมื่น แต่ บี ก็ยังเป็นน้องคนเดิม ที่สนุกเหมือนเดิมล่าสุดนั้น ข้อความในทวิตเตอร์ของ บี แหลมสิงห์ เขียนถึงสโมสรลิเวอร์พูล เมื่อวันเสาร์ที่ 25 มีนาคมว่า Dear @LFC Mr. Michael Owen is not legends for the club, he’s Judas. Best regards, Beelamsing Liverpool FC since 1983….นี่ละค่ะ บี แหลมสิงห์ คนที่ให้คำจำกัดความในแฟนเพจว่า “ผมบ้าบอล และอยากเป็นนักสนุ้กมือ 4 ของโลกฮะ”