เมื่อเอ่ยถึง “การแต่งงาน” สิ่งที่มักจะมาพร้อมกันคือ “สินสอด” ซึ่งหากเราจะมองความหมายของสินสอด ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ให้ความหมายของสินสอดว่า (น.) เงินที่ฝ่ายชายให้แก่บิดามารดาหญิงที่จะแต่งงานเป็นค่านํ้านม ข้าวป้อน หรือ (กฎ) ทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง แล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส
ส่วนในทางกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 วรรค 3 ระบุว่า สินสอด เป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง แล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิงหรือโดยมีพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบ ทำให้ชายไม่สมควรหรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น ฝ่ายชายเรียกสินสอดคืนได้ โดยลักษณะของสินสอดจะมีอยู่ 3 ประการ คือ
1. ต้องเป็นทรัพย์สิน การตกลงจะให้สินสอดนั้นจะต้องตกลงให้กันก่อนสมรส แต่ทรัพย์สินที่เป็นสินสอดซึ่งตกลงจะให้นั้นจะมอบให้ฝ่ายหญิงก่อนสมรสหรือหลังสมรสก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมอบให้ขณะทำสัญญา ทั้งไม่จำเป็นต้องมอบให้ขณะที่ทำการหมั้น ซึ่งต่างกับของหมั้นอันจะต้องให้กันในเวลาหมั้น
2. ต้องเป็นของฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองของหญิง บุคคลอื่นนอกจากนี้ไม่มีสิทธิเรียกหรือรับสินสอด หากเป็นหญิงที่บรรลุนิติภาวะ และไม่มีบิดามารดาหรือผู้ปกครองรับหมั้น เมื่อตกลงจะสมรสกับชายด้วยตัวเอง ทรัพย์สินที่เรียกจะไม่ใช่สินสอดแต่เป็นการให้โดยเสน่หา แม้ชายจะมอบเงินให้ตามคำเรียกร้อง
3. ให้เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ทรัพย์สินที่เป็นสินสอด เมื่อได้มอบไปแล้วย่อมตกเป็นกรรมสิทธิเด็ดขาดแก่บิดามารดาหรือผู้ปกครองหญิงโดยทันทีโดยไม่ต้องรอให้มีการสมรส แต่ต้องเป็นการให้โดยมีเจตนาที่ชายและหญิงจะจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย เมื่อชายมอบเงินให้แก่พ่อแม่ฝ่ายหญิงเพื่อขอขมาในการที่หญิงตามไปอยู่กินกับชาย โดยชายหญิงไม่มีเจตนาสมรสกันตามกฎหมายนั้น ไม่ใช้สินสอดหรือของหมั้น เมื่อต่อมาหญิงไม่ยอมอยู่กินกับชาย ชายจึงเรียกเงินคืนไม่ได้ (ฎ.125/2518)
ทำให้สินสอดกลายเป็นปัจจัยสำคัญของการแต่งงานขึ้นมา ไม่ว่าจะตามธรรมเนียมหรือตามกฎหมาย อันที่จริงวัฒนธรรมสินสอดไม่ได้มีแค่ในประเทศฝั่งเอเชียและไม่ได้เพิ่งมีมันมีมานานมากแล้วตั้งแต่ยุคอารยธรรมโบราณเมโสโปเตเมีย ซึ่งถือเป็นแหล่งอารยธรรมแรก ๆ ของมนุษย์ มีหลักฐานบันทึกไว้ด้วยตัวอักษรคูนิฟอร์ม หรืออักษรรูปลิ่ม (เป็นอักษรตัวแรกของโลก) ที่ระบุว่ามนุษย์ในยุคนั้นก็มีการเรียกสินสอดเมื่อบุตรหลานจะเข้าพิธีสมรส ทั้งนี้ทั้งนั้นสินสอดก็ต่างกันไปตามสังคม เพราะบางสังคมก็เป็นฝ่ายหญิงที่ต้องมอบสินสอดให้ฝ่ายชาย
แต่เมื่อเป็นยุคปัจจุบันที่สภาพสังคมเปลี่ยนไปมาก ฝ่ายหญิงดูแลตนเองได้ ทำงานนอกบ้านได้ และมีหน้าที่การงานที่ดีได้ รวมถึงไม่ใช่หน้าที่ผู้ชายที่จะต้องมาเลี้ยงดูผู้หญิง หากให้สิทธิ์ผู้หญิงเท่าเทียมกับผู้ชาย จึงเริ่มมีการตั้งคำถามกันมากขึ้นว่า สินสอด เหมาะสมมากแค่ไหนในบริบทสังคมปั
หรือพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะมองเพียงว่า ว่าที่ลูกเขยว่า “ดีพอ” จะดูแลลูกสาวตนเองได้หรือไม่ เพราะต่อให้มีสินสอดมากมายเป็นหลักประกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกเขยจะดีพอที่จะทำให้ชีวิตคู่ของลูกสาวมีความสุข อีกทั้งเมื่อแต่งงานกันไป ทั้งคู่ก็ต้องช่วยกันเลี้ยงครอบครัว ฉะนั้น แค่หน้าที่การงานที่มั่นคง ทั้งคู่เลี้ยงตัวเองเลี้ยงครอบครัวรอด เมื่อแต่งงานแล้วจะพึ่งพากันได้ ช่วยเหลือกันในยามลำบาก เพื่อเป็นการประคับประคองชีวิตคู่และครอบครัว เท่านี้หรือเปล่าที่สำคัญ
แต่งงานทำไมต้องมีสินสอด?
เมื่อพูดถึงการแต่งงาน สินสอดย่อมถูกพูดถึงคู่กัน ซึ่งสินสอดถือเป็นธรรมเนียมการแต่งงานแบบไทยที่มีมาตั้งแต่โบราณ หากแต่ถ้ามองย้อนไปในสมัยก่อน ที่ฝ่ายหญิงไม่ได้มีสิทธิ์ มีความสามารถในเรื่องต่าง ๆ ถูกฝึกให้เป็นแม่บ้านที่เตรียมออกเรือน หญิงชายก็ไม่ได้มีโอกาศพบเจอศึกษาดูใจกัน การแต่งงานก็เป็นเรื่องที่พ่อแม่จัดการให้ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายชายเบี้ยว ทิ้งให้ฝ่ายหญิงให้กลายเป็นหม้ายขันหมาก จึงต้องเรียกสินสอดไว้เหมือนเป็นค่ามัดจำ ที่ถ้าฝ่ายชายหนีการแต่งงานก็จะต้องจ่ายไปฟรี ๆ และยังเป็นหลักประกันว่าฝ่ายชายจะเลี้ยงดูฝ่ายหญิงในอนาคต
นอกจากนั้น สมัยก่อนฝ่ายหญิงไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไร นอกจากเป็นแม่บ้าน ทำงานบ้าน เลี้ยงลูก ทำให้จำเป็นต้องพึ่งพาฝ่ายชาย สินสอดจึงเป็นสิ่งการันตีความมั่นคงให้กับชีวิตของฝ่ายหญิง หากเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ฝ่ายหญิงจะได้มีเงินสินสอดเลี้ยงตัวเอง อีกนัยหนึ่ง คือการขอขมาว่าจะนำลูกสาวออกจากอกพ่อแม่ จึงต้องมีสิ่งตอบแทนการสู่ขอ และอีกประการสำคัญ สมัยก่อนการแต่งงานแบบประเพณีไทย ฝ่ายชายแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง เป็นไปได้ว่าการจ่ายสินสอด ก็เพื่อนำมาใช้ตั้งตัวกับภรรยา โดยไม่ต้องพึ่งพ่อแม่ของฝ่ายหญิงนั่นเอง
การคุยกันเรื่องค่าสินสอดไม่ได้มีการระบุไว้ชัดเจนว่ามูลค่าของสินสอดนั้นควรเป็นเท่าใด แต่มักจบลงด้วยคำว่า “ตามความเหมาะสม” หรือ “แล้วแต่จะให้” ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับฐานะครอบครัวฝ่ายชายเป็นหลัก อย่างไรก็ดี ก็ยังคาดหวังว่าต้องสมฐานะของหญิงสาวที่จะเป็นลูกสะใภ้ด้วย บางครอบครัวอาจจะคืนเงินสินสอดให้กับคู่บ่าวสาว เพื่อนำไปเริ่มการใช้ชีวิตคู่ แต่บางครอบครัวก็อาจจะไม่ แล้วไปตกอยู่กับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงแทน ทำให้สินสอดกลายเป็นเรื่อง เงิน ๆ ทอง ๆ ที่ไม่เข้าใครออกใคร
การตีค่าราคาของผู้หญิง
แน่นอนว่าการคิดค่าสินสอดจะคิดจากว่าหญิงสาวผู้นั้นเหมาะสมที่จะได้ค่าสินสอดเท่าไร ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือการตีราคาของฝ่ายหญิง กับคำว่า “สินสอดต้องสมฐานะ” เพราะหลายคนมีความคิดว่าบ้านไหนที่มีลูกสาวหน้าตาดี หน้าที่การงานดี มีชื่อเสียง ก็เรียกสินสอดได้แพง อย่างการพูดคุยกันในหมู่ญาติพี่น้อง แม้แต่กับคนข้างบ้านว่าลูกสาวเรียกสินสอดได้เท่าไร ยิ่งเห็นได้ชัดว่าลูกสาวบ้านนี้ “ขายออก” และผู้หญิงที่อยู่ในระดับนี้ ก็ย่อมได้ราคา (สินสอด) ดี
แต่เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนไป การสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศก็มองว่า การเรียกสินสอดจึงเป็นการตีฝ่ายหญิงเป็นมูลค่า เหมือนสิ่งของที่ซื้อขายกัน ด้วยการตั้งราคา เมื่อจ่ายก็ได้ครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์ นั่นก็เท่ากับเป็นการด้อยค่าฝ่ายหญิงลงด้วย ทั้งที่ปัจจุบัน ผู้หญิงมีสิทธิเสรีภาพในเรื่องต่าง ๆ เท่าเทียมผู้ชาย มีสิทธิ์ในชีวิตของตนเองมากขึ้น กล่าวคือในยุคที่ผู้หญิงมีสิทธิ์หลาย ๆ อย่างไม่แพ้ผู้ชาย รวมถึงพวกเธอทำมาหากินเลี้ยงตัวเองได้ สินสอดจึงอาจไม่จำเป็น เพราะไม่เหมาะกับบริบทสังคมปัจจุบัน
สินสอดใช้ซื้อความรัก?
หลายคนเชื่อว่าสินสอด คือสิ่งหนึ่งที่ใช้ “พิสูจน์ความรัก” เพราะมีพ่อแม่ฝ่ายหญิงจำนวนไม่น้อยที่มองว่าถ้าสินสอดไม่มากพอ เท่ากับว่า “ไม่มีปัญญา” ดูแลลูกสาวของเขาให้สุขสบาย จากนั้นก็ไม่ยกลูกสาวให้ ทำให้ต้องกลับมาพิจารณาว่าหรือสินสอดจะใช้ซื้อความรัก?
ความรัก อันเป็นจุดเริ่มต้นของการแต่งงานสร้างครอบครัว หากจะถูกตีค่าเป็นราคาที่ต้องจ่าย ก็เท่ากับเป็นการซื้อขาย ทั้งที่ความจริงไม่จำเป็นสักนิดที่ผู้หญิงสมัยนี้ต้องให้ผู้ชายเลี้ยง (แต่หากผู้ชายเต็มใจจะเลี้ยงโดยที่ผู้หญิงไม่ต้องทำงานเลยก็คิดเป็นกรณีไป) พ่อแม่ฝ่ายหญิงบางคนเข้าใจจุดนี้ และมองว่าลูกสาวตนเองมีศักยภาพพอที่จะเลี้ยงดูตัวเอง ก็อาจจะไม่เรียกสินสอดเลยสักบาทเดียว ทีนี้ก็จะขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายชายจะให้หรือไม่ให้เท่านั้น
เพราะสิ่งสำคัญของชีวิตคู่คือ “ความรัก” หากคนสองคนมีความรักความมั่นคงให้กัน พวกเขาก็จะตั้งใจช่วยเหลือกันเอง ประคับประคองกันเอง นั่นทำให้สิ่งที่พ่อแม่ฝ่ายหญิงบางคนต้องการก็คือ ผู้ชายที่รักลูกสาวของตนเองด้วยใจจริง พร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน สุดท้ายคือ การช่วยกันทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว นี่คือสิ่งสำคัญของชีวิตคู่ต่างหาก
ทำให้การแต่งงานแบบไทยในปัจจุบัน หลายบ้านยังคงยึดถือเรื่องสินสอดเหมือนเดิม แต่ก็มีการปรับประยุกต์ให้เข้ากับสภาพสังคมสมัยใหม่ การแต่งงานในปัจจุบันเกิดขึ้นจากความสมัครใจของคนสองคน ทำให้มีคู่รักจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะเก็บเงิน วางแผน และจัดงานแต่งงานกันเอง ส่วนเรื่องสินสอดก็มอบให้พอเป็นพิธีเท่านั้น จากเดิมที่ครอบครัวฝ่ายชายจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด เปลี่ยนมาเป็นบ่าวสาวขอรับผิดชอบร่วมกัน หลายคู่มองว่าสินสอดเป็นรายจ่ายฟุ่มเฟือย ก็เลือกที่จะตัดออกไปเลยก็มี
แต่ถ้าหากมองว่าสินสอดเป็นบทพิสูจน์ความรัก นั่นหมายความว่าเราใช้เงินซื้อความรักหรือเปล่า? อาจต้องพิจารณา
หากมองว่าสินสอดคือ “การซื้อ” จะคาดหวังสิ่งตอบแทนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เมื่อพูดถึงเรื่องสินสอดในยุคปัจจุบัน ค่าสินสอดที่เหมาะสมมักจะมาพร้อมกับคำถามว่า “จ่ายค่าสินสอดขนาดนั้น ฝ่ายหญิงทำอะไรได้บ้าง” หรือแปลง่าย ๆ ก็คือ เสียค่าสินสอดเป็นแสน (เป็นล้าน) แต่ถ้าฝ่ายหญิงไม่มีสกิลอะไลย ก็ไม่ควรต้องจ่ายด้วยราคาสูงขนาดนั้น
แม้ว่าจะเป็นความคิดที่ออกแนวดูถูกและตีค่าฝ่ายหญิง แต่นั่นไม่ใช่ความคิดที่ผิดแปลกอะไรเลยหากมองตามความเป็นจริง เป็นธรรมชาติของคน เมื่อต้องจ่ายเงินราคาสูงเพื่อให้ได้อะไรบางอย่างมาแล้วจะคาดหวังความคุ้มค่า ว่าจ่ายไปขนาดนั้นก็ “ควร” ต้องได้อะไรกลับมาบ้าง ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอีกเช่นกันที่ผู้หญิงยุคปัจจุบันจะไม่เก่งงานบ้านงานเรือน หรือจะไม่ทำหน้าที่ “แม่บ้าน” เพราะทุกวันนี้ผู้หญิงไม่ได้อยู่บ้านเป็นแม่บ้าน แต่ผู้หญิงก็ทำงานนอกบ้านเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ งานบ้านก็ไม่ได้ถูกจำกัดว่าผู้หญิงเท่านั้นที่ต้องทำ ในเมื่อเป็น “งานบ้าน” อยู่บ้านเดียวกันก็ต้องช่วยกันทำ โดยเฉพาะเมื่อแต่งงานกันไป ทั้งสามีและภรรยาต่างก็ทำงานนอกบ้าน ถ้าจะเหนื่อย ถ้าไม่มีเวลา ต่างก็เหมือนกันทั้งคู่ ฉะนั้น เรื่องงานบ้านจึงไม่จำเป็นต้องเป็นหน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง
กลับมามองที่เรื่องของสินสอด หากฝ่ายชายจ่ายแพง แต่มองว่าฝ่ายหญิงไม่มีสกิลทำงานบ้านก็ไม่น่าจะต้องจ่ายแพง ในขณะเดียวกันฝ่ายหญิงก็คิดว่าสมัยนี้แล้ว ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องทำก็ได้นี่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกเยอะแยะมากมาย และฝ่ายหญิงเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำมากกว่าการจะปรนนิบัตสามี สินสอดจึงเป็นสิ่งที่ควรพูดคุยกันก่อนแต่งงานว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมามีปัญหาแบบนี้ แม้กระทั่งเลิกรากันไปด้วยเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ
หากลูกสาวไม่แต่งงาน
การคลุมถุงชนเป็นเรื่องที่ล้าสมัยเข้าขั้นโบราณในสายตาคนรุ่นใหม่ ๆ และการที่ผู้หญิงต้องแต่งงานก็เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นอีกเช่นกัน ผู้หญิงสามารถมีงานมีการทำเลี้ยงตนเอง เลี้ยงครอบครัว (พ่อแม่ ญาติพี่น้อง) ได้ บางคนมีลูก แต่ก็เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว รวมถึงความคิดที่ว่า “ถ้ามีแล้วชีวิตไม่ดีขึ้น อย่ามีดีกว่า” ทำให้ผู้หญิงยุคใหม่ยืนด้วยลำแข้งของตนเอง พวกเธอมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน หากพวกเธอคิดจะมีครอบครัว พวกเธอมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเลือกคู่ครองเอง และมีสิทธิ์เลือกที่จะอยู่กินฉันสามีภรรยาโดยไม่จัดพิธีแต่งงานก็ได้เช่นกัน
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ พวกเธอมีสิทธิ์ที่จะไม่แต่งงาน ไม่มีครอบครัว อยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต โดยที่สังคมก็ไม่ได้มองเป็นเรื่องแปลก อันที่จริงผู้หญิงที่มีความคิดจะครองโสดไปตลอดชีวิต พวกเธอวางแผนการใช้ชีวิตในบั้นปลายไว้แล้วด้วยซ้ำว่าจะทำอย่างไรให้ตนเองไม่ลำบากในตอนที่ทำงานไม่ไหว พ่อแม่ของผู้หญิงหลาย ๆ คนก็ให้สิทธิ์ตัดสินใจกับลูกสาวเต็มที่โดยไม่เข้าไปยุ่ง บางคนให้สิทธิ์แต่ก็ยังแอบหวังว่าจะพวกเธอออกเรือน มีลูก มีหลานให้ จะได้มีคนดูแลยามแก่เฒ่า ในขณะที่ก็มีพ่อแม่อีกไม่น้อยที่พยายามทุกวิถีทางให้ลูกสาวได้แต่งงาน
และเมื่อลูกสาวไม่แต่งงาน ทำให้พ่อแม่บางคนคิดเองรวมถึงถูกสภาพแวดล้อมรอบข้างตราหน้าว่า “ลูกสาวขายไม่ออก” ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า หรือการแต่งงานจะถูกมองว่าเป็นการ “ขายลูกสาวกิน” ไม่เพียงเท่านั้น ในทางกฎหมาย สินสอดยังถูกนิยามว่า เพื่อตอบแทนที่ฝ่ายหญิงยอมสมรสด้วย ทำให้สามารถมองได้ว่ามันเป็นการ “แลกเปลี่ยน” อย่างหนึ่ง จ่ายเงินไป เพื่อได้ลูกสาวบ้านนั้นมา
ลักษณะความคิดที่ตีความไปได้หลายแบบเช่นนี้ ทำให้เรื่องของสินสอดเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันได้ไม่จบไม่สิ้นว่าควรจะมีต่อหรือพอแค่นี้ อันที่จริง ถ้าเราื่องสินสอดอยู่ที่ความคิดของแต่ละคน มันก็ไม่ควรจะเป็นเรื่องบังคับว่าต้องมี และอยู่ที่การพูดคุยตกลงกันแต่ต้นว่าสินสอดจำเป็นหรือไม่ หรือก็คือใครใคร่เรียกก็เรียก ใครใคร่จ่ายก็จ่าย โดยยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสม ความพึงพอใจ และความเป็นไปได้ของทั้งสองฝ่าย ที่ไม่ใช่การขูดรีดฝ่ายชายและทำเหมือนกับว่าขายลูกสาวกิน
เพราะฉะนั้น การเริ่มต้นชีวิตคู่ของคนสองคนจึงไม่ควรให้เรื่องของมูลค่ามาเป็นปัจจัยตัดสินความรู้สึกกันและกัน แต่เป็นเรื่องของคุณค่าทางจิตใจ คุณค่าของความรักที่คนสองคนมีต่อกัน สุดท้ายแล้ว เมื่อพวกเขาสร้างครอบครัวกันไป พวกเขาก็ต้องช่วยกันทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว ช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยความรัก โดยที่ทั้งคู่จะเป็น “คู่ชีวิต-คู่ทุกข์คู่ยาก” อยู่กันไปถึงยามแก่เฒ่ามากกว่า