ในสังคมที่เล่าความจริงแบบ “ราโชมอน”

เคยได้ยินประโยคที่ว่า “ความจริงแบบราโชมอน” ไหมคะ เป็นความจริงประเภท จริงในลวง ลวงในจริง จนทำให้คนที่ได้รับข้อมูลไม่อาจตัดสินได้ว่า ความจริงที่แท้ที่ควรมีหนึ่งเดียวนั้นเชื่อถือได้แค่ไหน

“ราโชมอน” เป็นเรื่องสั้นของนักเขียนหนุ่มชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า “รีโนะซุเกะ อะกุตะงะวะ” เดิมเรื่องสั้นเรื่องนี้มีชื่อว่า “ในป่าละเมาะ” ก่อนที่ผู้กำกับระดับตำนานของญี่ปุ่นอย่าง “อากิระ คูโรซาวะ” จะหยิบเอาวรรณกรรมเรื่องนี้มาสร้างเป็นภาพยนตร์ และสร้างชื่อเสียงให้กับเขาไปทั่วโลกในชื่อ “ราโชมอน” และทำให้การดำเนินเรื่องในรูปแบบราโชมอนนั้น กลายเป็นต้นแบบของการสร้างภาพยนตร์อีกหลายเรื่องเลยทีเดียว

ในส่วนของวรรณกรรมเรื่อง “ราโชมอน” ที่เป็นฉบับแปลนั้น แปลโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ตำนานนักเขียนผู้ล่วงลับอีกท่านหนึ่งของเมืองไทย นอกเหนือจากการแปลในฉบับภาษาไทยแล้ว “อาจารย์หม่อม” ยังได้ดัดแปลงให้กลายเป็บบทละครเวทีและมีการแสดงต่อหน้าพระที่นั่งในปี 2508 และทำให้บทละครเรื่องราโชมอนนั้นกลายเป็นบทละครที่นิสิตและนักศึกษาเกือบทุกสถาบัน นำไปใช้ในการแสดงเวที ต่างเวลาและสถานที่กันไป

ส่วนวันนี้ที่ชวนคุณผู้อ่านคุยเรื่อง “ราโชมอน” เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมา มีบางข่าวที่ผู้ตกเป็นข่าวนั้นสั่นคลอนความเชื่อเรื่อง “จริยธรรม” ของคนในสังคมได้มากเลยทีเดียว และทำให้มีการตั้งคำถามต่อมาตรฐานจริยธรรมของผู้ที่จะมายืนอยู่ในจุดที่เป็นผู้บริหารบ้านเมือง เหนืออื่นใด ผู้ที่ตกเป็นข่าวนั้นมีการเล่าความจริงที่แตกต่างไปจากหลักฐานและความจริงที่ปรากฏต่อสังคม กลายเป็นว่าผู้กระทำผิดมีความจริงเป็นของตนเอง และบอกกับตนเองให้เชื่อว่าตัวเขานั้นไม่ผิด ขณะเดียวกันก็พยายามจะบอกกับสื่อและคนในส้งคมว่า หลักฐานที่ปรากฏให้เห็นจริงนั้นเป็นเรื่องลวง แต่ความจริงนั้นคือสิ่งที่ออกจากปากเขาเอง

เห็นข่าวแบบนี้แล้วแต่ได้รู้สึก “กระอักกระอ่วนใจ” และทำให้นึกถึงการเล่าความจริงรอบกองไฟใน “ราโชมอน” ทั้งจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ และผู้ที่เป็นพยานของเหตุการณ์ รวมไปถึงผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากเหตุการณ์ เพราะความจริง ระหว่าง โจรป่า (ผู้ก่อเหตุ) เมียซามูไร (ผู้ประสบเหตุ) คนเก็บฟืน (พยานผู้เห็นเหตุการณ์) และ “ซามูไร” ที่ให้การผ่านร่างทรงนั้น จะมีความจริงของแต่ละคนแตกต่างกันไป และทำให้เห็นว่าเป็นความจริงของแต่ละคนนั้นมาจากปูมหลังชีวิต ปมในใจ และความต้องรู้สึกผิดชอบชั่วดีของแต่ละคน

การเล่าความจริงที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในราโชมอน แสดงให้เห็นว่า “มนุษย์” ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ จะบอกเล่าความจริงที่เป็น Fact มากน้อยแค่ไหน หรือจะแต่งเติมเข้าไปเพื่อเพิ่มผลประโยชน์ให้กับตนเองนั้นขึ้นอยู่กับ จริยธรรมของตนเอง ส่วนคนที่รับฟังต่อมาเป็นทอดที่สอง ทอดที่สาม ไปจนถึงทอดที่สิบ สิบเอ็ด จะเหลือความจริงในเรื่องเล่าแค่ไหน…นั่นคือสิ่งที่นักเขียนอย่าง “อะกุตะงะวะ” ตั้งคำถามไว้ในเรื่องสั้นของเขา

ส่วนความจริงจากข่าว ที่ทำให้ผู้เขียนนึกถึงราโชมอนนั้น น่าสนใจตรงที่ว่าผู้ที่ก่อเหตุออกมาเล่าว่า ความจริงคืออะไร เลยทำให้เราอยากรู้ว่า “ความจริงที่เขาเล่า จะเป็นความจริงแบบที่โจรป่าในราโชมอน เล่าเพื่อให้ตัวเองรอดจากโทษทัณฑ์ที่ลงมือฆ่าซามูไรหรือเปล่า” ถ้าเป็นเช่นนั้น ความจริงเราท่านได้เห็นได้อ่านผ่านข่าว จะเป็นความจริงกี่เปอร์เซ็นต์ และการส่งต่อความจริงที่รางเลือนเช่นนี้ จะทำให้สังคมเห็นอะไรบ้างนอกจาก “ความไม่น่าเชื่อถือ” ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน

ลองหา “ราโชมอน” มาอ่าน หรือดูที่เป็นภาพยนตร์ของอากิระ คูโรซาวะ ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าอยากได้รสชาติแบบไทย ๆ แนะนำ “อุโมงค์ผาเมือง” ซึ่งดัดแปลงมาจากราโชมอนเช่นกัน ถ้าคุณผู้อ่านได้อ่านหรือได้ชมแล้ว อาจจะทำให้มุมมองต่อความจริงที่คุณรับทราบผ่านสื่อนั้นถูกสั่นคลอนก็ได้ค่ะ

ก่อนจะลากันไปในวันนี้ อยากฝากประโยคของนักเขียนชาวตุรกี อย่าง “เมห์เมด มูรัด อิลดาน” เอาไว้ให้ไปคิดกันเล่น ๆ ก่อนที่จะกลับมาเจอกันอีกครั้งในสัปดาห์หน้า “คุณไม่สามารถทำให้คนที่ทำแต่เรื่องอัปยศอดสู รู้สึกอับอายกับสิ่งที่เขาทำได้ฉันใด คุณก็ไม่สามารถทำให้คนที่ไร้ยางอาย รู้สึกละอายต่อสิ่งที่เขาทำฉันนั้น มันก็เหมือนแมลงสาบที่เกิดขึ้นมาท่ามกลางความโสมม อย่างไรเสียแมลงสาบก็ยังคงเป็นแมลงสาบวันยันค่ำ”

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ