
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับวงการบันเทิงของเกาหลีในช่วงนี้ มีดราม่าไม่แผ่วมาตั้งแต่เริ่มต้นปี ยิ่งมาถึงเวลานี้ สถานการณ์วงการซีรีส์ไม่สู้ดีเอามาก ๆ จะเรียกว่าเป็นวิบากกรรมของทีมงานผู้ผลิตซีรีส์เกาหลีกับแฟนคลับก็ยังได้ มีซีรีส์หลายเรื่องโดนกระแสโจมตีหนักหน่วง จนกระทบกับงานสร้างยังผลสร้างความเสียหายมหาศาล ล่าสุดซีรีส์ฟอร์มยักษ์อย่าง Joseon Exorcist ก็เพิ่งโดนไปหมาด ๆ (และดูเหมือนจะยังไม่จบ)
Joseon Exorcist ที่ถูกด่า (ใช้คำว่า “วิพากษ์วิจารณ์” ไม่ได้ ต้องใช้คำว่า “ด่า”) แรงมาก มากขนาดที่มีเนติฌซนเกาหลีเขียนจดหมายส่งถึงทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ และเสนอชื่อให้ถอดซีรีส์เรื่องนี้ออกจากผังการออกอากาศเป็นแสนคน ทีแรกทีมงานจะพยายามไกล่เกลี่ยขอปรับแก้เนื้อหาและถ่ายซ่อม เพื่อดึงเวลาให้ซีรีส์ยังฉายได้อยู่ แต่สุดท้ายก็รั้งไม่อยู่ เพราะกระแสด่ามันแรงมากจริง ๆ ในที่สุดก็ประกาศยุติออกอากาศและถอดออกจากผังของช่อง หลังฉายไปได้เพียง 2 ตอนเท่านั้น
จะบอกว่าตัวเองโชคดีมากที่ยังไม่ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นเราท่านอาจจะรู้สึกค้างคาไปตลอดชีวิต คนที่มีโอกาสได้ดูแล้วรีวิวเป็นเสียงเดียวกันว่าเรื่องมันสนุกมากจริง ๆ อันที่จริงก็วางแผนไว้ว่าในสัปดาห์นี้ ชะนีติดซีรีส์จะต้องเอาความบ้าคลั่งของเรื่องนี้มาเมาท์มอย แต่ทุกอย่างเป็นอันพับเก็บ
ตอนนี้จึงได้แต่หวังว่าจะไม่มีซีรีส์เรื่องไหนต้องโดนแบบนี้อีก ที่สำคัญ คงต้องเซฟตัวเองกันอย่างหนัก ระมัดระวังการนำเสนอเนื้อหากันมากขึ้นโดยเฉพาะประเด็นอ่อนไหว เพื่อให้ซีรีส์ตัวเองได้ออนแอร์ไปได้จนจบ เพราะเนติเซนเกาหลีก็ประสาทแ_กเอาเรื่อง ไม่แพ้เนติเซนไทยเลยล่ะ

ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่น จึงต้องหันมาหาเป้าหมายต่อไป เป็นซีรีส์ของอีกช่องที่ส่งออกมาออนแอร์ตอนแรกในคืนเดียวกัน ยอมใจ tvN ที่ท็อปฟอร์มซีรีส์มากในช่วงนี้ แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็อยู่ในลิสต์ตั้งแต่แรกนั่นแหละ เพียงแต่เรื่องนั้นมันโหดดีเลยอยากดูก่อน ส่วนเรื่องนี้เป็นแนวฟีลกู๊ดอบอุ่นหัวใจ ดูเบากว่า เหมาะเอาไว้ล้างตาภาพเลือดสาด เรื่องธรรมดา ๆ ของผู้ชายต่างวัย 2 คน ที่นำเสนอออกมาไม่ธรรมดา
Navillera อ่านว่า นาบิลเลรา หรือนาบิเลรา (เทือก ๆ นี้แหละ) หรือชื่อเดิม Like a Butterfly พล็อตเรื่องน่าสนใจตรงที่มันเป็นเรื่องราวการในการไล่ล่าตามหาความฝัน ระหว่างผู้ชาย 2 คนที่ต่างวัย ชายหนุ่มอายุ 23 ปี และชายผู้สูงวัยอายุ 70 ปี เป็นซีรีส์ที่สร้างจากเว็บตูนช่วงปี 2016-2017 ซึ่งความนิยมก็ไม่ธรรมดาเสียด้วย เพราะวี (V) ไอดอลวง BTS ยังเคยรีวิวว่าเป็นเว็บตูนที่เขาชอบ เขาบอกว่าเนื้อหามันดีมาก ๆ และ…ระวังจะเสียน้ำตาตอนอ่าน
Navillera ถูกแปลเป็นภาษาไทยว่า ดั่งผีเสื้อร่ายระบำ ซีรีส์เล่าเรื่องราวของผู้ชายต่างวัย 2 คน ที่กลายมาเป็นคู่หูกันเพราะเขามีความฝันร่วมกันคือ อยากเป็นนักบัลเลต์ ความฝันพาเขาทั้งคู่มาเจอกัน และต่างคนต่างก็เป็นแรงบันดาลใจให้กัน ซีรีส์แนวนี้ทำให้เราอบอุ่นและประทับใจได้ไม่ยาก โดยเฉพาะความพยายามของคุณตาวัย 70 ในการเป็นผู้จัดการชายหนุ่มวัย 23 อย่างจริงใจ เพราะอยากให้ชายหนุ่มสอนเต้นบัลเลต์ ชายชราค่อย ๆ ทลายกำแพงในใจของชายหนุ่มลง จนเขายอมเปิดใจ เคมีความเป็นคู่หูตาหลาน ทำให้คนดูยิ้มตามไปด้วย
คุณตาวัย 70 ปี เป็นบุรุษไปรษณีย์เกษียณอายุ เขารู้ตัวดีว่าอายุขนาดเขาเหลือเวลาบนโลกอยู่ไม่มากพอที่จะหายใจทิ้งปล่อยผ่านไปวัน ๆ เขาจึงตัดสินใจเริ่มตามความฝันในการเรียนเต้นบัลเลต์ ความฝันตั้งแต่วัยเด็กที่ถูกพ่อสั่งห้าม และต้องล้มเลิกไปในที่สุด เมื่อถึงวัยที่ต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว กับชายหนุ่มวัย 23 ที่มีพรสวรรค์ในการเต้นบัลเลต์ แต่ช่วงนี้เขาอยู่ในช่วงย่ำอยู่กับที่ ไม่พัฒนาอะไรเลย ด้วยปมในใจบางอย่าง

ประสบการณ์ชีวิตของตัวละคร 2 วัยนำมาสู่แรงผลักดันซึ่งกันและกัน ชายชราถูกครอบครัวคัดค้านอย่างหนักหน่วง แต่ก็หายอมแพ้ไม่ ส่วนชายหนุ่มก็เกือบจะดับฝันตัวเอง ซึ่งชายชราก็พยายามพิสูจน์ว่าการวิ่งตามความฝันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็อย่ายอมแพ้ง่าย ๆ จนกว่าจะได้มันมา มิตรภาพต่างวัยของเด็กหนุ่มที่ฝันเกือบดับ กับคุณตากำลังเริ่มต้นความฝันในวัย 70 ปี
เหนือสิ่งอื่นใด พระเอกที่ชื่อว่า ซงคัง หล่อมาก แถมลีลาการเต้นบัลเลต์ที่เจ้าตัวไปซุ่มซ้อมเรียนนานกว่า 6 เดือนก็น่าทึ่งและสมบูรณ์แบบมาก (แม้ว่าคาแรกเตอร์จะหยาบคายไปหน่อย) เอ๊ะ! ไม่สิ ต้องบอกว่าแค่ 6 เดือน เพราะการที่ซงคังทำได้ขนาดนี้ในเวลาเท่านี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ขนาดนักบัลเลต์อาชีพยังต้องใช้เวลาฝึกฝนนานหลายปี แต่ครึ่งปีของซงคังได้ขนาดนี้ก็ถือว่าไม่เลวเลย
พอแก่ตัว จะเคยชินกับการจากลา
ออกตัวนิดว่าดิฉันยังไม่แก่ขนาดนั้น แค่เข้าใกล้เลข 3 แต่สิ่งที่ประสบพอเจอ ที่บ่อยพอ ๆ กับการที่เพื่อนฝูงหรือคนรอบตัวหนีไปแต่งงานก็คือ ข่าวการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รักของใครหลาย ๆ คน ความจริงอายุยี่สิบปลาย ๆ มันไม่ควรจะมาคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ แต่ไม่รู้สิ ไตรมาสเดียวของเดือนนี้ (ยังไม่เต็มไตรมาสด้วยซ้ำ) ได้ข่าวการจากไปของญาติ ๆ ของคนอื่นมาไม่ต่ำกว่า 3 ราย

อย่างว่า อายุแค่นี้มันไม่ควรที่จะมาคุ้นเคยกับเรื่องความตาย วัยนี้คือการฉลองที่เงินเดือนขึ้น บางคนได้เลื่อนตำแหน่ง บางคนบวช บางคนแต่งงาน แต่ตั้งแต่เสียยายไป เราค่อนข้างจะไร้ความรู้สึกกับเรื่องการตายไปแล้ว จะว่าปลงก็ไม่เชิง แต่ประมาณว่าอยู่กับความจริงที่ว่าคนเราเกิดมาก็ตายทุกคน เป็นเรื่องปกติและเป็นธรรมชาติ
“คนอายุเท่าเรา ไม่ใส่ผ้าอ้อมให้ตัวเองก็ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมให้หลาน ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง” เป็นคำพูดของคุณตาคนหนึ่งในเรื่อง ที่พูดคุยกับเพื่อนวัยเดียวกันในงานศพเพื่อนตัวเอง ส่วนคุณตาอีกคนก็สงสัยว่า มางานศพเพื่อน เสียใจนะ แต่ทำไมน้ำตาถึงไม่ไหล ก็ได้คำตอบว่า “เพราะพอแก่ตัวแล้ว เราจะเคยชินกับการจากลายังไงล่ะ”
จะว่าไป คนที่ตายไปแล้วนี่คือหมดเวรหมดกรรมของจริง คนที่ยังอยู่ต่างหากที่เหนื่อยสุด ๆ และก็เจ็บปวดทรมานมากด้วย แอบหวังว่าชาติหน้าจะไม่มีจริงหรือมีจริงก็ไม่เอาแล้ว พอแล้ว ไม่ขอเกิดอีกแล้ว (โว้ย)
ความฝันไม่มีวันหมดอายุ
ความฝันไม่มีวันหมดอายุ แต่ที่หมดไปคือไฟของเราต่างหาก เพราะในช่วงแรก ทุกอย่างถูกกระตุ้นด้วยความอยาก แต่พอเวลาผ่านไปนาน แล้วก็ยังไม่มีโอกาสได้ลงมือทำ มันก็ยิ่งห่างไกลออกไป
ชายวัย 70 ปี ที่ใคร ๆ ก็มองว่า “แก่เกินแกง” อยากทำตามความฝันอันยาวนานตั้งแต่วัยเด็กในวันที่เป็นวัยแก่ ด้วยการไปเรียนบัลเลต์ และชายวัยหนุ่มที่มีพรสวรรค์ด้านบัลเลต์ แต่เพราะต้องต่อสู้กับอุปสรรคในชีวิต ทำให้ชายต่างวัย 2 คนจับมือกันพยายามทำตามความฝันของตนเองในการเต้นบัลเลต์ และได้สร้างมิตรภาพต่างวัยขึ้นมา

ชายวัย 70 มีความฝันอันยาวนานว่าอยากจะขึ้นแสดงบัลเลต์ แต่ความฝันถูกปิดตาย ตั้งแต่ผู้เป็นพ่อมองว่าการส่งเงินให้เรียนบัลเลต์มันเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะฐานะครอบครัวไม่ได้อยู่สถานะที่อยากจะจ่ายเงินเรียนอะไรก็ได้ ทั้งยังต้องหาเงินตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอต จะเอาปัญญาไหนไปส่งให้เรียน ต่อมาพอคุณตาเติบโตขึ้น เขาก็รับภาระเป็นหัวหน้าครอบครัว มีภรรยา มีลูก ๆ 3 คน ความฝันที่จะบินได้แบบนักบัลเลต์จึงถูกผนึกปิดตายโดยสิ้นเชิง
แต่หลังจากเกษียณจากงานประจำตำแหน่งพนักงานไปรษณีย์ ชีวิตที่ไม่ได้ทำอะไร นั่งหายใจทิ้งไปวัน ๆ มันน่าเบื่อและดูไร้ค่าไร้ประโยชน์ แต่เวลานี้ คุณตามีเวลา มีโอกาส มีแรง (ตามข้อจำกัดด้านอายุ) เลยตัดสินใจที่จะทำความฝันให้เป็นจริง แม้ว่าภรรยาและลูก ๆ จะไม่เห็นด้วยและคัดค้านก็ตาม คุณตารู้ดีว่าเป้าหมายตัวเองไม่ใช่การเป็นนักบัลเลต์อาชีพ เพราะสังขารไม่เอื้อ เป้าหมายเดียวของคุณตาคือ “ลงมือทำ ขอแค่ได้ทำ เพราะอยากจะทำ” พิสูจน์ว่าเราสามารถรับมือกับความท้าทายอะไร ๆ ก็ได้ ถ้าใจคุณมุ่งมั่นและเชื่อมั่นมากพอ
จริง ๆ ซีรีส์เรื่องนี้ทำดีมาก ในการแยกวิธีตามฝันของคนแต่ละช่วงอายุ คนวัยชราที่โอกาสเหลือน้อยเต็มที รู้มาตลอดว่าตัวเองอยากทำอะไร แต่ยังไม่ได้ทำ คนวัยผู้ใหญ่ (ลูกชายคนเล็กของคุณตา) ลาออกจากการเป็นหมอมาถ่ายทำสารคดี (อะไรก็ยังไม่รู้) ที่ไม่มีแววว่าจะไปรอด เพราะโรงพยาบาลไม่ใช่ที่ที่เขามีความสุข และวัยรุ่น (หลานสาวของคุณตา) วัยที่กำลังสับสน กำลังค้นหาความฝันในกรอบที่ครอบครัววางไว้ แต่เด็กทุกคนล้วนมีความฝันเป็นของตัวเอง หากใจกล้าพอที่จะแหกรั้ว จะต้องเจอกับอะไรบ้าง บนโลกที่ไม่ใช่ทุ่งลาเวนเดอร์ และโหดร้ายกว่าการอยู่ในหิน
มีความฝัน มีโอกาส มีเวลา มีแรง จะทำอะไรก็รีบทำ
ขึ้นชื่อว่า “เวลา” ผ่านแล้วมันผ่านไปเลย ย้อนกลับมาไม่ได้ ถ้าขายังมีแรง สติยังครบถ้วน มีอะไรที่อยากทำก็ลุยเลย อย่าให้ความฝันของตัวเองที่เคยปิดผนึกไว้ กลายเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจไปจนตาย สุดท้ายอาจทำได้แค่เสียใจและพร่ำบอกกับตัวเองแทน ว่าวันนั้นน่าจะ…

ก่อนที่จะหมดลมหายใจ ไม่สิ ไฟต่างหากที่จะหมดก่อน ความห่างไกลอาจมากเสียจนไม่กล้าจะทำอะไร แต่สุดท้ายมันก็ยังคงอยู่ค้างคาในใจไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ถ้าสถานการณ์เอื้อ คว้าได้ก็คว้าไว้เลย กำขี้ดีกว่ากำตดได้นิดได้หน่อยก็ยังดี อย่ารอให้ทุกอย่างมันสายเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สังขาร” เดี๋ยวจะเหมือนคุณตาที่ได้แต่รู้สึกอิจฉาพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่อยากทำอะไรก็ได้ และเสียใจมาตลอดว่าตนเองอายุปูนนี้แล้ว แต่ไม่เคยได้จับต้องความฝันเลยแม้สักครั้งเดียว
เพราะอย่างนี้ ไม่ว่าท่านผู้อ่านที่น่ารักจะยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว วัยผู้ใหญ่ หรือก้าวเข้าสู่วัยชราแล้วก็ตาม ลองคิดดูดี ๆ ว่ามีอะไรที่คาใจคุณอยู่หรือเปล่า ทุกคนล้วนมีสิ่งที่อยากทำ อยากไขว่คว้า มันอาจถูกปิดผนึกแล้วฝังเอาไว้ จงรีบหามัน แล้วเลิกลังเลรีรอ ถ้ามันอยู่ตรงหน้าแล้ว รีบตะครุบไว้เลย ✌