จับตา “ท่าทีจีน” หลังโจ ไบเดน เป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่อเมริกา

แม้จะยังไม่มีการรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ก็ยังไม่สิ้นสุดการดำรงตำแหน่งตามวาระ แถมยังประกาศไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง และอาจดำเนินการฟ้องหรือยื่นเรื่องคัดค้านทางกฎหมายต่อศาลอีก แต่ขณะนี้โลกก็เห็นผลที่ออกมาค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าศึกชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 46 ได้ “โจ ไบเดน” มาเป็นผู้นำประเทศ (และโลก?) คนต่อไป

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ เป็นที่จับตามองของนานาประเทศทั่วโลก ขนาดคนปกติที่ไม่เคยสนใจข่าวต่างประเทศยังพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ อย่างที่รู้กันว่าสหรัฐอเมริกาเป็นมหาอำนาจของโลก เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนผู้นำของอเมริกาจึงมีผลกับทั่วโลก ท่ามกลางสถานการณ์ปั่นป่วนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้นานาชาติอยากจะเห็นหน้าประธานาธิบดีคนใหม่ที่จะเข้ามาจัดการปัญหา ซึ่งถ้าผู้นำคนใหม่ไม่ใช่ “โดนัลด์ ทรัมป์” คนเดิม ก็แปลว่า ผู้นำคนใหม่ต้องจัดการเก็บกวาดปัญหาต่าง ๆ ที่ทรัมป์เริ่มไว้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน

แต่สิ่งที่ตลาดและนักลงทุนทั่วโลกจับตามองมากที่สุด คงหนีไม่พ้นนโยบายของผู้นำคนใหม่อย่าง “ไบเดน” ที่จะมีต่อประเทศที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดอย่าง “จีน” ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอเมริกาภายใต้การนำของ “ทรัมป์” ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับจีนไม่สู้ดีเอามาก ๆ เพราะตลอด 4 ปีที่ผ่านมา “ทรัมป์” ประกาศศึกรอบด้านกับจีนทั้งสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี สงครามการเมือง และสงครามการทหาร ที่ผลัดกันโต้ตอบและห้ำหั่นกันรุนแรง

ปัญหาขัดแย้งสหรัฐ-จีนในช่วงที่ผ่านมา

“เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้” เช่นเดียวกัน มหาอำนาจไม่จำเป็นต้องมีถึง 2 คือต้องมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น จึงแปลว่า 2 ประเทศที่แข่งกันเป็นมหาอำนาจอย่างอเมริกาและจีน ก็คงจะอยู่ร่วมโลกกันบนจุดยืนเดียวกันไม่ได้

จุดเริ่มต้นสงครามการค้าระหว่างอเมริกาและจีนในสมัยทรัมป์ มีเค้าลางตั้งแต่ทรัมป์หาเสียงด้วยวาทกรรม Make America Great Again จากการที่การค้าจีนเกินดุลกับอเมริกา หรือก็คือสินค้าที่อเมริกานำเข้าจากจีนนั้นมากกว่าสินค้าที่อเมริกาส่งออกไปจีน แบบเยอะกว่ามาก ๆ นั่นหมายถึงเงินของอเมริกาไหลเข้าจีนอย่างมหาศาล ทำให้ตลอด 4 ปีภายใต้การนำของ “ทรัมป์” เราเห็นความขัดแย้งที่อเมริกาและจีนต่างฝ่ายต่างตอบโต้กันไปมา เพื่อสกัดจีนจากการเป็นมหาอำนาจทางการค้า และประเด็นอื่นที่ดิสเครดิตจีนให้หมดความน่าเชื่อถือในสายตานานาชาติ เช่น

  • สงครามการค้า ทั้ง 2 ประเทศต่างกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าตอบโต้กัน
  • ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อเมริกาตั้งธงว่าจีนปล่อยไวรัสหลุด
  • ปัญหาดินแดนทั้งเกาะฮ่องกงและไต้หวัน
  • การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ในฮ่องกง
  • แบนหัวเว่ย
  • ข้อกล่าวหาละเมิดสิทธิมนุษยชนกลุ่มน้อยมุสลิมชาวอุยกูร์
  • เรื่องแบนแอปพลิเคชัน TikTok

ส่องโซเชียลมีเดียจีน คนจีนติดตามการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างใกล้ชิด

เห็นได้จากการที่โซเชียลมีเดียยอดนิยมของจีนอย่าง Weibo (微博) มีการพูดถึงว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ อย่าง 拜登 ซึ่งเป็นภาษาจีนที่คนจีนใช้เรียกไบเดน จนติดอันดับ 1 คำค้นหา ในช่วงเช้าวันที่ 8 พฤศจิกายน ก็พอจะเห็นว่าคนจีนติดตามการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างใกล้ชิด แน่นอนว่าคนจีนก็ไม่ได้หวังว่าอเมริกากับจีนจะปรองดองกันแบบพันธมิตร เพราะต่างฝ่ายต่างทำสงครามในลักษณะที่แข่งกันเป็นมหาอำนาจ และที่สำคัญทรัมป์เองก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับจีนที่ บารัค โอบามา เคยพยายามทำไว้อย่างประนีประนอมที่สุดตึงเครียด

ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญผ่านสื่อต่าง ๆ ในจีนยังคงไปในทิศทางเดียวกัน ก็คือ การแข่งขันของทั้ง 2 ประเทศยังเป็นการชิง “มหาอำนาจโลก” แต่ก็มองว่านโยบายหลาย ๆ อย่างที่ไบเดนมีต่อจีนน่าจะแตกต่างจากสมัยทรัมป์อยู่พอตัว ซึ่งนั่นอาจจะดีต่อเศรษฐกิจโลกมากกว่า และประเทศอื่น ๆ ก็ไม่ต้องอยู่ในภาวะกดดันเท่าตอนที่ทรัมป์เป็นผู้นำประเทศ โดยเฉพาะสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี สงครามทางการเมืองระหว่างประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังไม่ทุเลา เศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย อเมริกาภายใต้การนำของไบเดนดูจะผ่อนคลายมากกว่า

แต่โพสต์ความคิดเห็นของคนจีนใน Weibo ส่วนใหญ่ก็พูดถึงความพ่ายแพ้ของทรัมป์ และความดื้อแพ่งที่ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ปรากฏเป็นคำค้นหาลำดับที่ 3 และยังมีคำค้นหา 特朗普 ซึ่งเป็นภาษาจีนที่คนจีนใช้เรียกทรัมป์ ก็ติดอันดับการค้นหาเป็นอันดับที่ 12 ในช่วงเวลาเดียวกันด้วย

ในช่วงเที่ยงของวันที่ 9 พฤศจิกายน คนจีนก็ยังไม่แผ่วเรื่องการเมืองอเมริกา เพราะยังปรากฏคำค้นหาที่เกี่ยวกับทรัมป์อยู่ ซึ่งเป็นเรื่องตัวตนของทรัมป์ในทวิตเตอร์ต่อจากนี้ ที่เตรียมจะสูญเสียสิทธิพิเศษจากบัญชีผู้ใช้ @realDonaldTrump ในเดือนมกราคมปี 2021 โดยติดคำค้นหาเป็นอันดับที่ 1 ตามมาที่อันดับที่ 9 ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัมป์เช่นกัน เมื่อเมลาเนีย ทรัมป์ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง (ที่กำลังจะลงจากตำแหน่ง) ภรรยาของโดนัลด์ ทรัมป์ แนะนำให้เขายอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งได้แล้ว

จะเห็นได้ว่า สิ่งที่คนจีนที่เล่นโซเชียลมีเดีย Weibo ให้ความสนใจกับความพ่ายแพ้ของทรัมป์ เพราะคนจีนหลายคนมองว่าทรัมป์เองนี่แหละที่มีอิทธิพล และเป็นตัวแปรสำคัญของปัญหาอเมริกาและจีนในช่วงที่ผ่านมา และอยากรู้ว่าอเมริกาในวันที่ทรัมป์ไม่ใช่ผู้นำ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะเป็นอย่างไร

ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนจะเป็นอย่างไรต่อไป

อย่างที่บอกแล้ว บรรดานักวิเคราะห์เห็นตรงกันว่าไบเดนจะยังคงแนวทางการปฏิบัติที่แข็งกร้าวต่อจีนแบบเดียวกันกับที่ทรัมป์ทำ อย่างไรก็ตาม ท่าทีของไบเดนน่าจะดูเป็นมิตรกว่าทรัมป์แน่นอน หากไบเดนจะปรับเปลี่ยนนโยบายเป็นวิธีทางการทูตมากกว่ากดดันให้เกิดการเจรจา ซึ่งก็ต้องรอดูว่าหากไบเดนเดินเข้ามารับตำแหน่งแล้ว เขาจะทำอะไรบ้าง

ถึงกระนั้น แม้ว่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ทรัมป์จะปั่นป่วนจีนแค่ไหนก็ตาม แต่ทางจีนก็สามารถตอบโต้ได้ตลอด ด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างมีวิธีพลิกเอาชนะกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน เพราะทรัมป์ตั้งธงว่าจีนเป็นภัยคุกคามใหญ่ของอเมริกา รวมถึงการปกครองแบบระบอบประชาธิปไตยด้วย แต่หากมองในมุมของรัฐบาลจีน กลับอยากให้ทรัมป์อยู่ในตำแหน่งต่อไปอีก 4 ปี ก็เพื่อหาโอกาสพลิกบทบาทขึ้นมาถือไพ่เหนือกว่าอเมริกาให้ได้ เพราะนโยบายสุดโต่งของทรัมป์บางอย่างมีผลเหมือนการเปิดสงครามแบบเสียผลประโยชน์มากกว่า

แต่การที่ไบเดนพลิกขึ้นมาชนะทรัมป์อาจจะเป็นเรื่องที่ทางการจีนคิดการเผื่อไว้แล้ว อันที่จริงจีนต้องคิดเผื่อมากกว่านั้นด้วยซ้ำ เพราะหากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าทรัมป์จะกัดจีนไม่ปล่อยแน่นอน

ส่วนเกมของไบเดนหลังจากที่เขาขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำของสหรัฐอเมริกา ในมุมของการทำสงครามการค้า ไบเดนคงต้องเก็บกวาดเรื่องราวจากทรัมป์ที่สร้างการเผชิญหน้าและความตึงเครียดไว้ให้หมด นโยบายไบเดนเน้นไปที่การทวงคืนตำแหน่งอุตสาหกรรมการผลิตกลับมา ส่วนเรื่องกำแพงภาษีเดิมของทรัมป์นั้นยังเป็นไปได้น้อยที่เขาจะแตะ โดยเฉพาะในช่วงแรก ๆ ของการดำรงตำแหน่ง

นโยบาย Buy American ก็คือ เน้นการผลิตสินค้าจากแรงงานอเมริกา หรือส่งออกให้มากกว่านำเข้า (สินค้า Made in America) และยังยืนยันว่าอเมริกาจะต้องไม่เป็นรองจีน ส่วนนโยบายการค้าระหว่างประเทศ เขาก็จะสร้างความได้เปรียบให้กับอเมริกามากขึ้นแน่นอน ผลพวงมาจากการกระทำของทรัมป์ที่ส่งผลทางอ้อมให้การค้าและแรงงานของจีนแกร่งขึ้น และมีแนวโน้มที่ไบเดนจะสานต่อและต่อยอดสิ่งที่โอบามาทำไว้

ส่วนประเด็นความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศนั้น อย่างที่เห็นคือยากที่จะควบคุม อเมริกาเองรู้ดีถึงแสนยานุภาพทางการทหารของจีน จากรายงานพัฒนาการทางการทหารของจีน จัดทำโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2020 ศักยภาพการต่อเรือของจีน ทำให้จีนเป็นประเทศที่มีกองทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ระบบป้องกันภัยทางอากาศที่มีกองกำลังระบบอาวุธแบบพื้นสู่อากาศขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และระบบจรวดร่อนและขีปนาวุธภาคพื้นดินของจีนก็เหนือกว่า เพราะจีนสามารถพัฒนาขีปนาวุธได้ทุกรูปแบบโดยที่ไม่มีการจำกัดด้วยกฎหมายระหว่างประเทศใด ๆ พิสัยการยิงขีปนาวุธของจีนสามารถยิงได้ข้ามทวีปได้

อำนาจเทคโนโลยีของบริษัทจีน ไบเดนมีนโยบายชัดเจนว่า “ต่อต้าน” ด้วยความกังวลถึงความมั่นคงของประเทศ และการโจรกรรมข้อมูล หากพบว่าทางจีนมีการขโมยเทคโนโลยีของอเมริกา และข้อมูลความมั่นคงต่าง ๆ อเมริกาคงไม่ปล่อยจีนไว้แน่นอน แถมยังข่มขู่ว่าจะตัดจีนออกจากการเข้าถึงตลาดและระบบการเงินของอเมริกาด้วย

จึงต้องดูกันต่อไปว่าหลังจากที่แต่ละรัฐรับรองผลการเลือกตั้ง ว่าที่ประธานาธิบดีอย่าง “โจ ไบเดน” ก็จะถูกรับรองว่าชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป และเตรียมตัวเข้าพิธีสาบานตนในเวลาเที่ยงวันที่ 20 มกราคม 2021 จากนั้นคือย้ายเข้าทำเนียบขาว ต้องดูว่า 4 ปี ต่อจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกาและจีนจะไปในทิศทางใด

ข้อมูลจาก 2020 China Military Power Report, CNBC, BBC