Work from Home การทำงานที่คุณต้องควบคุมตัวเอง

วันพฤหัสฯ ที่ผ่านมามีโอกาสได้ดู Live สดของ Tonkit360 กับรายการ “ปั๊มถามน้าเบ๊ดตอบ” สะดุดกับประโยคนึงที่น้าเบ๊ดบอกว่า “ยุคนี้ใครไม่ Work from Home ถือว่าตกยุค” ดูจะเป็นเรื่องจริงค่ะ เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะติดต่อกับลูกค้าไม่ว่าจะกลุ่มไหน ส่วนใหญ่แล้วจะทำงานกันจากที่บ้านทั้งนั้น แม้จะมีบางส่วนที่ยังต้องไปออฟฟิศแต่ก็เป็นส่วนที่น้อยมาก เรียกว่าทำให้การจราจรในกรุงเทพฯ นั้นโล่งไปถนัดตาเลยทีเดียว

แต่เรื่องของ Work from Home นั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนสบายนะคะ เพราะได้ยินเสียงจากคนรอบข้างพูดให้ได้ยินว่าตั้งแต่ Work from Home มาจนเกือบจะเดือนครึ่งนี่ เหมือนทุกอย่างจะหยุดนิ่ง ตามงานได้ช้ามากแม้ว่าจะมีประชุมออนไลน์ แอปพลิเคชั่นที่สามารถส่ง Text พูดคุยกันได้ แต่ก็ไม่เหมือนนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศเดียวกัน

ที่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำงานที่บ้านได้อย่างสะดวก บรรยากาศในการทำงานก็จะไม่เหมือนในออฟฟิศ เพราะหลายคนที่โต๊ะทำงานอยู่ในห้องนอน จิตใจมักจะวอกแวกไปอยู่ที่เตียงนอน บางคนโต๊ะทำงานอยู่ในห้องนั่งเล่น มีสมาชิกในครอบครัวมานั่งคุยด้วย สมาธิก็หดหาย บางคนอยู่คอนโดนั่งอยู่คนเดียวก็เหงาไม่เปิดตู้เย็นหาของกิน ก็นั่งเล่นเกมแก้เหงา เข้าโซเชียลไปส่องไทม์ไลน์ หรือเข้าแอปฯ ช้อปปิ้ง จนทำให้ไม่ได้โฟกัสกับงานอย่างเต็มที่

ด้วยบรรยากาศแบบนี้ทำให้การทำงานจากบ้านหรือ Work from Home ของหลายคนลดประสิทธิภาพในการทำงานลง ทีมงานของ Tonkit360 เคยนำเสนอเนื้อหาที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในหัวข้อ 7 เคล็ดลับ “โฟกัสงาน” ให้ตลอดรอดฝั่ง ซึ่งได้รับความสนใจจากคุณผู้อ่านไม่ใช่น้อย เชื่อว่าน่าจะช่วยให้คุณผู้อ่านได้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ไม่มากก็น้อย

แต่เหนือสิ่งอื่นใด การทำงานที่บ้านก็ไม่ต่างจากการทำงานในออฟฟิศเท่าไร มีเพียงแค่บรรยากาศรอบข้าง ที่ทำให้เรารู้สึกโฟกัสกับงานได้ไม่เต็มที่ หากแต่หัวใจสำคัญของการทำงานให้ได้ผลดีที่สุดคือ “รู้จักควบคุมตัวเอง” เพราะคนที่ควบคุมตัวเองได้ รู้ว่าเวลาตื่นควรตื่นตอนไหนในวันทำงานแม้จะต้องทำงานที่บ้าน จัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยไม่นั่งทำงานทั้งชุดนอน เข้าสู่โหมดการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ในช่วงเวลาเดียวกับที่ทำงาน อาจมีผ่อนคลายได้บ้างแต่ก็ต้องเป็นช่วงเวลา ทำงานในเวลางาน และเลิกงานในเวลางาน ถ้าควบคุมตนเองได้เช่นนี้ การ Work from Home ย่อมเกิดประสิทธิภาพการทำงานไม่ต่างจากที่คุณอยู่ในออฟฟิศ

หากแต่การทำงานจากบ้านของหลายคน มักเริ่มต้นด้วยการตื่นสายกว่าปกติ นั่งทำงานทั้งชุดนอน สามารถออกไปทำธุระนอกบ้านในเวลาที่เป็นเวลางาน เริ่มเวลาทำงานด้วยการเข้าสู่โลกโซเชียล พอเบื่อหรือต้องรองานจากคนอื่นส่งต่อมา ก็จะฆ่าเวลาด้วยการเล่นเกม สุดท้ายมักจะคิดแบบเดียวกันคือ เก็บงานไว้ทำตอนกลางคืน เลยทำให้เวลาเริ่มงาน และเวลาเลิกงานผิดเพี้ยนไปจากปกติ งานที่ได้ก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

เด็กรุ่นใหม่หลายคนอาจไม่เห็นความสำคัญของการควบคุมตนเอง และมองว่าการทำงานจากบ้านหรือ Work from Home เป็นการทำงานด้วยอารมณ์ชิลล์ (คำว่าชิลล์ สำหรับผู้เขียนแปลว่าเฉื่อยแฉะ) และคิดว่าจะตื่นเวลาไหนไม่เห็นสำคัญ จะใส่ชุดนอนทำงานก็ไม่เห็นจะแปลก จะออกไปซื้อกาแฟแล้วค่อยมานั่งหน้าคอมฯ โดยที่เจ้านายติดต่อไม่ได้ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา ก็มัน Work from Home! นี่จะซีเรียสกันไปทำไม แค่นี้ก็เครียดแล้ว แต่ด้วยวิธีคิดแบบนี้แหละค่ะ ที่ทำให้หลายคนประสิทธิภาพลดลงยิ่งกว่าทำงานที่ออฟฟิศ ที่แย่อยู่แล้วก็แย่ลงไปอีก

และถ้าคิดว่าไม่สำคัญ ก็ขอกระซิบบอกว่าเจ้านายคุณจะดูประสิทธิภาพดังกล่าว และนำเอามาประเมินผลงานของคุณในภายหลังเมื่อถึงเวลาที่บริษัทฯ ต้องจัดการกับพนักงานตามสภาพเศรษฐกิจ คนที่ชอบพูดคำว่า “ชิลล์” มักจะอยู่ใน ลิสต์ต้น ๆ ของการพิจารณา และถ้าคิดว่าการว่างงานเป็นเรื่องชิลล์ ตกงานก็ได้ไม่เห็นจะเป็นอะไร ไปเปิดร้านกาแฟ ขายขนม ขายของออนไลน์ก็ได้ ก็อยากให้ลองกันดูค่ะ เพราะแค่การรับผิดชอบงานที่มีหัวหน้ามอบหมายให้ ยังรับผิดชอบไม่ได้ แล้วต้องไปทำธุรกิจเอง รับผิดชอบตนเอง ด้วยเงินของพ่อแม่หรือเงินที่กู้มา จะทำได้ดีแค่ไหนถ้ายังพูดคำว่า “ชิลล์” อยู่

มาร์ค ทเวน หรือซามูเอล แลงฮอร์น คลีเมนส์ นักเขียนชื่อดังชาวอเมริกันเคยกล่าวถึงการสร้างนิสัยในการควบคุมตนเองเอาไว้ว่า “การลงมือทำในสิ่งที่คุณไม่อยากทำให้ได้ทุกวันจนกลายเป็นนิสัย คือเคล็ดลับสำคัญในการรับผิดชอบต่อหน้าที่ตนเอง โดยที่คุณไม่รู้สึกว่าถูกใครมาบังคับให้ทำ” ถ้าอยากมีวันแห่งความสำเร็จเหมือนคนอื่นเขาบ้าง ขอให้ลองดูค่ะ

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ