[รีวิว] จอมขมังเวทย์ 2020 – กลับมาอีกครั้งอย่างถูกทาง (หรือเปล่า?)

จอมขมังเวทย์หนังภาคต่อที่อยู่ดี ๆ ก็มีโผล่มาให้เราตื่นตาตื่นใจ ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกับหนังในตำนานเรื่องนี้อีกครั้ง ที่นักแสดงก็คนเดิมคนเดียวกับภาคแรกมาร่วมสมทบด้วย หนังก็ทำออกมาให้เราลุ้นและรู้สึกดีไปด้วยแต่อะไรหลาย ๆ อย่างก็ทำให้รู้สึกว่ามันควรจะดีได้กว่านี้ มันไม่ควรทำได้แค่นี้ จะมีประเด็นอะไรบ้างไปดูกัน

อย่างแรกเลยคือบทบาทของตัวละครที่ทำออกมา ก็รู้สึกแปลกใจกับหนังไทยที่ทำหนังทีไรตัวละครช่างเยอะซะเหลือเกิน ยิบย่อยเยอะแยะ ตัวประกอบหลักก็เยอะ การกระจายบทก็เลยทำให้รู้สึกว่าไม่มีตัวละครแบบนี้ก็ได้ อีกทั้งยังไม่รวม Influencer ในสื่อโซเชียลมีเดียที่โผล่มาในหนัง มันทำให้รู้สึกว่าหนังไทยใส่ใจกับการแสดงน้อยขนาดไหน เอาใครมาเป็นตัวละครในหนังก็ได้จนกลายเป็นว่าไม่ต้องเรียนการแสดงก็สามารถแสดงหนังได้แล้ว ขอแค่กล้า บ้า สู้กล้องก็เพียงพอ อีกทั้งบทตัวหลักก็แทบดูกระจอกไปเลยถ้าเทียบกับการเอาตัวละครเก่ามาให้ดูเท่ดูขรึม ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่เอานักแสดงเดิมไปแสดงให้มันรู้แล้วรู้รอดไปก็ไม่ทราบเหมือนกัน

CG ก็ออกแนวดันทุรัง ดันทุรังคือการที่มันออกมาแย่แต่กลับเอามันเป็นส่วนสำคัญในหนัง ถึงแม้หนังภาคนี้จะห่างจากภาคก่อนถึง 14 ปี แต่ก็ไม่ควรใช้ CG สมัย 14 ปีที่แล้วมาก็ได้ เพราะความขลังมันอยู่ที่ตัวนักแสดงภาคก่อนอยู่แล้ว เมื่อคุณไปทุ่ม CG จนเกินไปเลยทำให้หนังนั้นดูออกมาไม่เท่แล้วไม่สมเหตุสมผลเลยสักอย่าง อยากเรียกสัตว์เวทย์มนต์ก็เรียก ปลุกเสกของทุกอย่างได้ที่ทำขึ้นมาเองเลยทำให้หนังมันดูลอย ๆ ไปถ้าเน้นเรื่องมนต์คาถาน่าจะสนุกกว่านี้

สถานที่ที่ไปถ่ายทำก็เช่นกัน แต่ส่วนนี้พอเข้าใจได้เพราะหนังหลาย ๆ เรื่องก็ทำกันแต่ถ้าคนที่จับรายละเอียดและรู้พื้นที่จริงจะรู้สึกว่ามันช่างแปลกประหลาด ยกตัวอย่างเช่น โผล่ไปสู้กันที่ช่างชุ่ยแต่ตอนวิ่งหนีไปโผล่ตลาดน้อย ซึ่งสถานที่มันก็ห่างไกลมากการวิ่งไล่ล่ากันเลยทำให้รู้สึกตลก ยังไม่รวมถึงมุมกล้องที่แปลกและอึดอัด มุมกล้องส่วนใหญ่จะต้องกล้องทแยงมุม 45 องศา เพื่อความขลังหรืออะไรก็ไม่ทราบแต่บางฉากถ้าวางมุมกล้องเหมือน The Matrix น่าจะออกมาเท่กว่านี้ซะด้วยซ้ำ

แต่สิ่งที่ดีในหนังก็มี นั่นก็คือความลุ้นและวางโครงเรื่องประติดประต่อในหนังที่สานกันทั้ง 2 ภาค ต้องบอกเลยว่าถึงจะมีหลายอย่างที่ต้องติแต่ก็เป็นหนังที่ทำให้ลุ้นถึงขนาดลืมกินป็อปคอร์นกับน้ำไปเลย อาจจะเป็นเพราะในตัวอย่างเราจะได้เห็นพระเอกใหม่สู้กับนักแสดงเก่า เลยทำให้ลุ้นว่ามันจะจบยังไง มันจะช่วยกันสู้ยังไง เลยทำให้หนังเรื่องนี้ดูมีความสนุกจนลืมข้อที่พัง ๆ ออกไปเลย

รวมถึงการแสดงของ ก็อต จิรายุ ตันตระกูล ที่บอกได้เลยว่าแบกหนังมากกว่าตัวหลักด้วยซ้ำ การแสดงของเขาทำให้รู้สึกว่ามันเลว มันโหด มันร้ายจริง ๆ จนทำให้ไม่ลืมภาพลักษณ์ตัวร้ายในบทบาทความเป็นโรคจิตของเขาลงไปได้ ถ้าให้เขาไปแสดงเทียบเท่าหนังฮอลลีวูดรับบทโจ๊กเกอร์ก็ยังได้เลยด้วยซ้ำ เป็นตัวร้ายที่ผมมองแล้วรู้สึกว่าเขาเดินได้เท่จริง ๆ และโรคจิตโคตร ๆ

เนื้อหาต่อจากนี้เป็นเพียงการคาดเดาและเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ

ในตอนท้ายของเรื่อง เราจะเห็น 2 ฉากสุดท้ายที่ได้ปล่อยออกมา เราจะมาคาดเดาในตัวอย่างที่ 2 กันเพราะตัวอย่างนี้เราจะเห็น สันติ ที่ตามล่า อิทธิ จนมาถึงโบกี้รถไฟแล้วโดดเข้าใส่ก็ตัดจบ ทำให้ไม่รู้ว่าจะมีภาค 3 หรือไม่ แต่ส่วนตัวคิดว่าภาคนี้คือระยะเวลาที่หายไปในภาคแรกซะมากกว่าถึงแม้จะมีบางจุดที่ไม่สมเหตุสมผลแต่พอมาชั่งน้ำหนักดูแล้วเหตุการณ์ที่บอกว่าเป็นส่วนหนึ่งข้อภาคแรกทำให้มีจุดบกพร่องน้อยกว่าที่จะทำภาค 3 ต่อด้วยซ้ำ เพราะมันจะตอบคำถามทุกอย่างเลยว่า ทำไมอิทธิถึงไม่ตาย และหมวดสันติหายไปไหน

คะแนนความน่าดู 6/10