ข่าวการลาออกหลังสิ้นสุดฤดูกาล 2017-2018 ของอาร์เซน เวนเกอร์ เป็นเรื่องที่แฟนบอลทั่วโลกทราบกันไปตั้งแต่เมื่สัปดาห์ก่อน ขณะที่คอลัมน์ โซโหซอย 8 ของคุณธีรพัฒน์ อัครเศรณีเมื่ออังคารที่แล้วก็ได้เขียนถึง การอำลาของเวนเกอร์ ไว้อย่างน่าประทับใจว่า “อยู่ให้รัก จากให้คิดถึง” ซึ่งเป็นมุมมองที่ไม่ใช่แค่เรื่องของผู้จัดการทีมคนหนึ่งประกาศลาออกอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของการทำงานของผู้ชายคนหนึ่ง ที่อยู่กับสโมสรเดียวมาติดต่อกันถึง 22 ปี และทำงานชนิดที่ซื่อสัตย์ทั้งกับงานและใจของตนเองในยุคที่ใครๆก็บอกว่า “เงินซื้อความสำเร็จได้”
เวนเกอร์ ให้สัมภาษณ์สกายสปอร์ตเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อสโมสรที่เขาคุมมาอย่างยาวนานว่า “อาร์เซนอล เป็นรักแท้ของผม (Love of my life) ที่ผ่านมาผมปฎิเสธข้อเสนอของหลายสโมสร เพื่อทำงานที่ท้าทายที่นี่ และ ผมไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเอง”
ฟังสิ่งที่เวนเกอร์ พูดแล้วรู้สึกดีต่อใจมากนะคะ เพราะความรู้สึกของคนหนึ่งคน ที่มองว่างานที่ตัวเองทำคือ Love of my life คือรักแท้ ในยุคที่ผู้คนต่างยกเอาเรื่องของเงินเป็นที่ตั้ง แต่ เวนเกอร์ เลือกที่จะยกเอางานที่ตนเองจะทำเป็นที่ตั้ง แม้ว่าจะมีข้อเสนอที่เร้าใจ แต่เงินไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เวนเกอร์ มองว่างานที่เขาต้องรับผิดชอบและผลงานของตนเองนั้นคือสิ่งสำคัญและเขาต้องรักษาให้อยู่ในมาตรฐานที่เขารับได้ และนั่นทำให้เวนเกอร์ ถึงกับออกปากว่า “เขาไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจที่ผ่านมาของตนเอง”
งานที่เวนเกอร์ บอกว่าไม่เคยเสียใจต่อการตัดสินใจของตนเองนั้น คือผลงานที่เขาทำให้ อาร์เซนอล สามารถยืนอยู่บนพื้นที่ท้อปของตารางพรีเมียร์ลีกมาได้โดยตลอด แม้ยุคหลังจะไปไม่ถึงแชมป์ แต่ผลงานเมื่อจบฤดูกาลก็เรียกได้ว่าไม่ขี้เหร่ ประโยคหนึ่งของ เวนเกอร์ ที่เคยพูดไว้เมื่อครั้งพาอาร์เซนอล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในปี 1997-98 ว่า “การคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จพิสูจน์ให้เห็นถึงการทำงานหนักของทุกคนในทีม แต่เมื่อเริ่มฤดูกาลใหม่คะแนนของทุกทีมก็ต้องมาเริ่มต้นใหม่ที่ศูนย์ ถึงเวลานั้นเราก็ต้องกลับมาทำงานหนักกันอีกครั้ง”
แนวคิดชีวิตที่เห็นได้จากการทำงานของ อาร์แซน เวนเกอร์ กับอาร์เซนอลนั้น สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของคนทำงาน อย่างเวนเกอร์เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของคนทำงานที่ทำงานแบบมืออาชีพ ซื่อสัตย์กับตัวเอง ซื่อสัตย์กับงานที่อยู่ตรงหน้า ทำงานโดยไม่คิดฟุ้งซ่านและพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ก็น่าจะเป็นแนวคิดที่คนในยุคนี้ลองนำมาพิจารณาปรับใช้กันเพราะคำว่าประสบความสำเร็จในการทำงานนั้นไม่ได้วัดกันแค่ว่าคุณมีเงินเดือนสูงแค่ไหน มีรถแพงขนาดไหน หรือได้มีรูปเที่ยวต่างประเทศอัพลงโซเชียลมีเดียบ่อยแค่ไหน
หากแต่ผลงานที่มาจากการทำงานอย่างซื่อสัตย์และทุ่มเทจะสะท้อนคุณค่าของคุณออกมาเองและทำให้คุณตื่นมาในทุกเช้า สามารถมองหน้าในตัวเองในกระจกโดยไม่นึกเสียใจแม้แต่นาทีเดียว
À la prochaine, Arsene Wenger
แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ