หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “คุกมีไว้ขังคนจน” สะท้อนภาพของสังคมที่คนชนชั้นนำ และคนมีเงินมักจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องเกรงกลัวความผิด ด้วยความคิดชุดนี้ ทำให้คดีดังที่จำเลยเป็นคนใหญ่คนโตหรือไฮโซตระกูลดังมักถูกจับตามองจากสังคมในช่วงระยะเวลาหนึ่ง วันนี้ tonkit360 ขอรวม 4 คดีดังที่กลัวว่าเมื่อเวลาผ่านไป คดีดังเหล่านี้จะเงียบหาย จำเลยบางคนก็อาจจะยังอยู่สุขสบาย สวนทางกับความยุตธรรมที่ยังไม่ปรากฎ

1.กัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ ไฮโซตระกูลดังขับรถเบนซ์ชนคนบนฟุตบาทเสียชีวิต หลังมีเรื่องทะเลาะวิวาท
คดีนี้เกิดขึ้นช่วงเช้าของวันที่ 5 กรกฎาคม 2550 โดยนายกัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ หรือ หมูแฮม ลูกชายของอดีตนางสาวไทย มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนขับรถเมล์สาย 513 ก่อนหยิบก้อนหินเข้าทำร้ายร่างกายคนขับรถเมล์ จนได้รับบาดเจ็บ ทำให้ผู้โดยสารบนรถเมล์คันดังกล่าวต้องลงมายืนรอรถเมล์อีกคันบนฟุตบาท ระหว่างนั้นนายกัณฑ์พิทักษ์ได้กลับไปที่รถก่อนเหยียบคันเร่งพุ่งชนคนบนทางเท้า ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และผู้บาดเจ็บอีกหลายราย นายกัณฑ์พิทักษ์ ตกเป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พยายามฆ่าผู้อื่น และทำร้ายร่างกายผู้อื่นทำให้ได้รับบาดเจ็บ แต่ทางทนายและครอบครัวอ้างว่าหมูแฮมมีอาการทางประสาท ชักเกร็ง และเคยเข้ารับการรักษา
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในปี 2552 ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง พิพากษาลงโทษฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี และฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจำคุก 1 เดือน ริบรถยนต์ของกลาง และให้ชำระค่าเสียหายแก่ผู้เสียหาย
ต่อมาในปี 2556 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นในขณะที่ไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง เห็นควรให้จำคุกจำเลย 2 ปี รวมโทษฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น อีก 1 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้นเป็นเวลา 2 ปี 1 เดือน โดยโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี
และในปี 2558 ศาลฎีกา ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือโดยละเอียดรอบคอบแล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดจริง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้น พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยไว้ 2 ปี 1 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
ทำให้นายกัณฑ์พิทักษ์ หรือ หมูแฮม ปัจฉิมสวัสดิ์ ต้องรับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าว โดยคดีนี้ใช้เวลาทั้งสิ้น 8 ปีจึงจะสิ้นสุดลง
สถานะ : คดีสิ้นสุดแล้ว ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี 1 เดือน
2.วรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทกระทิงแดงขับรถหรูชนตำรวจเสียชีวิต
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเช้ามืดของวันที่ 3 กันยายน 2555 นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ทายาทเจ้าของบริษัทเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อดัง ขับรถหรูเฟอร์รารี่ พุ่งชนดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ ขณะขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ ทำให้ร่างของนายตำรวจถูกลากไปไกลถึง 200 เมตร เสียชีวิต เหตุการณ์นี้กลายเป็นข่าวครึกโครม โดย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในขณะนั้น เข้าจับกุมตัวผู้ต้องหาด้วยตัวเอง ที่บ้านพักหรูของตระกูลอยู่วิทยา แต่กลับมีการส่งพ่อบ้านมาอ้างว่าเป็นผู้ขับรถชนตำรวจ เพื่อเข้ามอบตัวแทน แต่ไม่สามารถตบตาสังคมได้ นายวรยุทธ อยู่วิทยาจึงถูกแจ้ง 3 ข้อกล่าวหา
โดยทายาทกระทิงแดงรายนี้ทำหนังสือขอเลื่อนพบอัยการแล้วถึง 7 ครั้ง ทำให้คดีหมดอายุความไปแล้วถึง 2 คดี เหลือเพียงคดีขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ที่มีอายุความ 15 ปี ซึ่งจะหมดอายุความในวันที่ 3 กันยายน 2570 โดยเมื่อวันที่ 5 เมษายนปีที่แล้ว ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว AP บุกไปดักรอนายวรยุทธ ที่หน้าบ้านพักในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อสอบถามว่าเขาจะกลับไปพบอัยการเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาที่ประเทศไทยหรือไม่ ขณะที่อดีตนาวิกโยธินของสหรัฐฯ ออกมาเรียกร้องให้สังคมงดซื้อสินค้าในเครือ Red Bull เพื่อกดดันทายาทกระทิง ที่ยังคงใช้ชีวิตหรูหราในต่างประเทศ หลังขับรถชนนายตำรวจเสียชีวิต จนทำให้เกิดกระแสแฮชแทค #SayNoToRedBull ขึ้นในโลกออนไลน์
สถานะ : ขอเลื่อนพบอัยการ 7 ครั้ง จนคดีหมดอายุความไป 2 คดี คาดว่าใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษ

3.เจนภพ วีรพร ทายาทเลนโซ่กรุ๊ป ซิ่งเบนซ์พุ่งชนฟอร์ดไฟลุก สองนักศึกษาปริญาโทเสียชีวิต
คดีนี้เกิดขึ้นในวันที่ 13 มีนาคม 2559 นายเจนภพ วีรพร ขับรถเบนซ์ พุ่งชนรถยนต์ฟอร์ด เฟียสต้า บนถนนพหลโยธิน ทำให้นายกฤษณะ ถาวร และนางสาวธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย นิสิตปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเสียชีวิต โดยคดีนี้เป็นกระแสขึ้น เนื่องจากสังคมเกิดข้อกังขาต่อเจ้าหน้าที่ เพราะตั้งข้อกล่าวหาล่าช้า และไม่มีการตรวจหาสารเสพติดหรือตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายของนายเจนภพ โดยตำรวจอ้างว่านายเจนภพได้รับบาดเจ็บ
คดีนี้พนักงานอัยการสั่งฟ้อง นายเจนภพ วีรพร 7 ข้อหา ต่อมาในเดือนกรกฎาคมปี 2560 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดในพ.ร.บ.จราจรทางบก ลงโทษจำคุก 5 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพจึงลดโทษกึ่งหนึ่ง คงเหลือจำคุก 2 ปี 6 เดือน และให้เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งครอบครัวนายเจนภพ ได้ยื่นเรื่องขอประกันตัวในวงเงิน 200,000 บาท เพื่อสู้คดีต่อ
สถานะ : ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก แต่นายเจนภพได้ยื่นประกันตัวเพื่อสู้คดีต่อ

4.เปรมชัย กรรณสูต CEO อิตาเลียนไทย เข้าป่าล่าเสือดำ
เรื่องนี้ถูกเปิดเผยในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาหลังพบว่า ซีอีโอ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) นายเปรมชัย กรรณสูต กับพวก ตั้งแคมป์พักในบริเวณจุดห้ามตั้ง ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ ภายหลังเจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจสอบบริเวณเต็นท์ พบซากสัตว์ป่าคุ้มครองได้แก่ ไก่ฟ้าหลังเทา ซากเนื้อเก้ง จึงได้ตรวจสอบเพิ่มเติม พบอาวุธปืนลูกกรดติดลำกล้อง 1 กระบอก ปืนไรเฟิลติดลำกล้อง 1 กระบอก และปืนลูกซองแฝด 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนอีกมากมาย ใกล้กับจุดที่พบอาวุธปืน พบซากเสือดำ ถูกชำแหละและถลกหนัง เจ้าหน้าที่ป่าไม้จึงทำการจับกุมส่งตัวดำเนินคดีที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เรื่องนี้ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง หลังมีกระแสข่าวว่านายเปรมชัยเข้าพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ ในนามแขกของผู้ใหญ่ในกรมอุทยานฯ ด้านทนายของนายเปรมชัยเปิดเผยว่า นายเปรมชัย ไม่เกี่ยวข้อง แค่เข้าไปพักผ่อน มีการขออนุญาตเพื่อเข้าไปในพื้นที่อย่างถูกต้อง และได้รับการอนุญาตแล้ว แต่จากภาพถ่ายนายเปรมชัยที่ปรากฎในวันที่ถูกควบคุมตัว ทำให้ชาวเน็ตแฉต่อว่าเสื้อที่นายเปรมชัยใส่นั้น เป็นเสื้อสำหรับใส่ล่าสัตว์โดยเฉพาะ
ขณะที่นายวิเชียร ชินวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฯ ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนพร้อมนำหลักฐานบันทึกการจับกุมผู้ต้องหา พร้อมแจ้ง 9 ข้อกล่าวหากับนายเปรมชัย และพวกรวม 4 คน ด้านรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกสื่อว่าอาจพิจารณาโทษเอาผิดหัวหน้าวิเชียรเพราะไม่ได้เก็บค่าธรรมเนียมค่าเข้าอุทยานฯ กับคณะของนายเปรมชัย ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เจ้าหน้าที่อย่างหนัก ร้อนถึงโฆษกกรมอุทยานแห่งชาติฯ ต้องออกมาบอกว่าหัวหน้าวิเชียรไม่มีความผิด เพราะได้รับคำสั่งเร่งด่วนมา โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขยายผลค้นบ้านนายเปรมชัย พบปืน 43 กระบอกและงาช้าง 4 กิ่ง สะท้อนว่า CEO ใหญ่เป็นคนชอบล่าสัตว์และสะสมของหายากเกี่ยวกับสัตว์ป่า และยังพบว่านายเปรมชัยและเครือญาติบุกรุกป่า อ.ภูเรือ อีกกว่า 6,000 ไร่ เคยถูกกรมป่าไม้ดำเนินคดีบุกรุกป่าเขาสอยดาวอีก 4,010 ไร่
สถานะ : ประกันตัวเพื่อสู้คดี และต้องเข้ารายงานที่ศาลจังหวัดทองผาภูมิครั้งแรก ในวันที่ 26 มีนาคมนี้