คอลูกหนังหยุดเกาหัว! สรุปแล้ว UEFA Nations League คืออะไร?

แม้ว่าฟุตบอลทีมชาตินั้นอาจจะได้รับความสนใจแค่ในการแข่งระดับทวีป เช่นเอเชียนส์ คัพ หรือ ศึกยูโร ไปจนถึงฟุตบอลโลก แต่ในการรับตำแหน่งของประธาน สหพันธ์ฟุตบอลยุโรปยูฟ่าคนใหม่อย่าง อเล็กซานเดอร์ เชเวริน นั้น เขาก็ได้ปรับเปลี่ยนวิถีของฟุตบอลทีมชาติ ด้วยการเปิดโปรเจ็คอย่าง UEFA Nations League ที่เล่นเอาแฟนบอลหลายๆคนนั้นปวดหัว และโอดครวญว่า “นี่มันคืออะไร” แต่ไม่ต้องห่วง เพราะ Tonkit360 จะมาสรุปกันให้ง่ายๆ ว่าการแข่งขันที่เรียกกันได้ว่า “ฟุตบอลลีกของทีมชาติ” นั้น จะมีลักษณะ และจะเปลี่ยนแปลงการเข้ารอบของชาติต่างๆในเวลาระดับทวีปอย่างไรกันบ้าง

เราขอแนะนำให้รอดูการแข่งขันที่จะเริ่มขึ้นในปีนี้ และพอการแข่งขันค่อยๆดำเนินการไป เขื่อว่าแฟนๆลูกหนังน่าจะเริ่มเข้าใจรูปแบบเกมมากขึ้นอย่างแน่นอน

แล้วจะแข่งกันทำไมล่ะ

ตามความเป็นจริงนั้น การจัดการแข่งขันนี้ขึ้นนั้นมีจุดประสงค์หลักคือต้องการให้การแข่งเกม “กระชับมิตร” นั้นจัดง่ายขึ้น และทำให้การแข่งขันในระดับชาตินั้น “เข้มข้นขึ้น” และดูมี “เหตุผล” มากขึ้น เพราะตอนนี้เกมกระชับมิตรดูแล้วเหมือนจะไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้าพวกเขาลดเกมกระชับมิตร มาเป็นเกม UEFA Nations League ขึ้นมา เกมเหล่านี้ก็จะมีความหมายในเรื่องโอกาสการไปเล่นฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร และได้เลื่อนชั้นเพื่อขึ้นมาเจอทีมใหญ่ๆมากขึ้น (เหมือนฟุตบอลลีก)

แบ่งกลุ่มกันอย่างไร

ภาพจาก YouTube: UEFA

กลุ่มนั้นจะแบ่งตามอันดับของผลงานของแต่ละชาติในยุโรป โดยชาติที่ผลงานดีที่สุดจะอยู่ในลีก A ตามด้วย B, C และ D ตามอันดับ และในลีกนั้นก็จะแบ่งออกมาเป็นกลุ่มอีก กลุ่มละ 3-4 ทีม (เช่นในลีก A จะมี 12 ทีม ก็จะแบ่งเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 3 ทีม)

สำหรับลีก B, C, D นั้น ชาติที่จบอันดับ 1 ในกลุ่มของในแต่ละลีก (จะมีลีกละ 4 ทีม) จะได้สิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้นมาในลีกที่สูงกว่าเพื่อเจอกับทีมที่แกร่งขึ้น ส่วนชาติที่มีอันดับต่ำสุดของแต่ละลีก (มี 4 ทีมเช่นกัน) ก็จะตกชั้นลงมาแทน แต่ถ้าทีมที่อยู่ในลีก D ที่เป็นลีกที่ต่ำที่จุด จบอันดับท้ายสุดในกลุ่ม พวกเขาก็จะไม่ตกชั้นไปไหนนะ

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ตัวอย่างเช่นว่าถ้าเยอรมนี ที่อยู่ในลีก A เกิดทำผลงานแย่จนจบอันดับท้ายสุดในกลุ่ม พวกเขาก็จะตกชั้นจาก ลีก A ไปอยู่ในลีก B

ในขณะที่ถ้าชาติอย่างเดนมาร์กทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในลีก B และจบอันดับ 1 ในกลุ่มนั้น พวกเขาก็จะได้เลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ในลีก A นั่นเอง คิดในรูปแบบเหมือนฟุตบอลลีก ที่มีการขึ้นชั้น ตกชั้น แต่เป็นบอลทีมชาติ ที่มีการแบ่งกลุ่มในลีกละกัน

สามารถเข้าไปดูว่า ใครต้องเจอกับใครได้ใน ลิงค์นี้

แล้วจะหาแชมป์อย่างไร

รูปแบบการจัดรายการ UEFA Nations League (ภาพจาก tonkit360.com)

ทีมที่จบอันดับ 1 ในลีก A (ซึ่งจะมี 4 ทีมจาก 4 กลุ่ม) จะถูกจับมาแข่งเพลย์ออฟ กัน โดยจะมีรอบรองชนะเลิศ ชิงอันดับ 3 และรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งผู้ชนะก็จะเป็นแชมป์รายการ UEFA Nations League นั่นเอง (ได้แชมป์ แต่ก็ไม่ได้ไป ยูโรนะ)

ส่งผลต่อการเข้าไปเล่น “ยูโร” หรือเปล่า

ทีมจะเข้ารอบยูโร 2020 จากการเล่นรอบคัดเลือก 20 ทีม และอีก 4 ทีมจะมาจาก UEFA Nations League (ภาพจาก UEFA.com)

ส่งแน่นอน แต่อย่าลืมนะว่า ยูโร 2020 นั้นจะไม่มีมีชาติเจ้าภาพชาติเดียว โดยจะมี 12 ชาติ ที่จะเป็นชาติจัดการแข่งขัน ซึ่ง 12 ชาตินี้ก็ต้องมาเล่นรอบคัดเลือกของยูโรอยู่ดี (อันนี้คือรูปแบบเดิมเหมือนยูโร 2016 นั่นแหละ) โดยรอบคัดเลือกยูโรนั้น จะมี 20 ทีมที่จะได้เข้ารอบจากการคัดเลือกตรงส่วนนี้ (ทีมอันดับ 1 และ 2 ของกลุ่มทั้งหมด 10 กลุ่ม)

ส่วนอีก 4 ทีมนั้นจะมาจากศึก UEFA Nations League โดยจะให้แต่ละลีกของ Nations League (A B C D ที่เราได้กล่าวไปก่อน) จัดการเพลย์ออฟ ของแต่ละลีก (ยกเว้นทีมที่เข้ารอบไปก่อนแล้ว พื้นที่ตรงนั้นก็จะตกเป็นของทีมที่ผลงานดีที่สุดลำดับต่อไป) ซึ่งผลสุดท้าย 4 ทีมที่ชนะเพลย์ออฟจากแต่ละลีก A B C และ D ที่จะได้ตั๋วไปเล่นศึกยูโร 2020 รวมครบ 24 ทีม

ทำไมต้องทำแบบนี้

เพื่อจะให้การแข่งขัน ยูโร นั้นดูมีความหลากหลายมากขึ้น และช่วยให้ชาติแต่ละชาติสามารถมีโอกาสได้เจอกับทีมใหญ่ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ได้ด้วย เช่นว่าถ้าชาติเล็กๆอย่าง อาร์มีเนีย สามารถชนะเพลย์ออฟได้ พวกเขาก็จะได้มาเล่นศึกยูโร 2020 นั่นเอง เพราะถ้าให้ไปเล่นในรอบคัดเลือกยูโรแบบปกติ พวกเขาก็น่าจะต้องไปเจอชาติยักษ์ใหญ่ในกลุ่ม (ก็จะเข้าวงโคจรเดิม ที่ชาติใหญ่ๆอย่างอังกฤษ สเปน เยอรมนี ไล่ตบคู่แข่งกันเป็นว่าเล่น) และตกรอบนั่นเอง ซึ่งทีมใหญ่ๆ ก็เคยบ่นว่าทำไมพวกเขาจต้องเล่นกับทีมเล็กๆด้วย

การจัดเพลย์ออฟใน UEFA Nations League เพื่อหาอีก 4 ทีมที่จะได้เล่นยูโร 2020 นั้น นอกจากจะเป็นการเปิดโอกาสรอบ 2 ให้กับบางชาติที่ทำผลงานในการคัดเลือกแบบปกติไม่ดี (เช่นเนเธอร์แลนด์ที่เคยพลาดตกรอบคัดเลือก ยูโร 2016 เป็นต้น)  ยังเป็นการเปิดโอกาสชาติเล็กๆ (เช่นชาติที่อยู่ในลีก C และ D) ได้ไปเล่นศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปอังทรงเกียรตินี้ด้วย เพราะมีเสียงบ่นจากชาติเล็กๆหลายๆชาติว่า พวกเขาคงไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ไปเล่นในทัวร์นาเม้นต์ระดับนี้

การแข่งขันของ UEFA Nations League จะสนุกสนาน และน่าสนใจขนาดไหน แฟนฟุตบอลต้องมารอลุ้นกันในช่วงเดือนกันยายนปีนี้