หากพูดถึงวงการเทนนิสหญิง ชื่อของ มาร์ติน่า ฮินกิส ถือว่าคุ้นหูกันพอสมควร แต่แฟนเทนนิสรุ่นใหม่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า ฮินกิส คือ 1 ในแค่ 6 นักเทนนิสหญิงที่สามารถรั้งมือหนึ่งของโลกได้ทั้งในประเภทเดี่ยวและคู่ในเวลาเดียวกัน
แม้เคยประสบความสำเร็จมากมาย อีกทั้งมีฟอร์มอันยอดเยี่ยมในปีนี้ แต่ “สวิสมิส” ในวัย 37 ปี คิดว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่เธอจะประกาศเลิกเล่นแบบจริงๆ สักที โดยนักหวดสาวชาวสวิสเตรียมอำลาวงการเทนนิสหลังจบการแข่งขันรายการใหญ่ปิดท้ายฤดูกาล “ดับเบิลยูทีเอ ไฟน่อลส์” ที่สิงคโปร์ในปีนี้
ฮินกิสเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวของเธอว่า เป็นเรื่องเหลือเชื่อมากที่วันเวลาผ่านไปถึง 23 ปีแล้ว นับตั้งแต่ลงแข่งเทนนิสอาชีพเป็นครั้งแรก ซึ่งเมื่อแขวนแร็กเกตไปแล้วก็คงจะคิดถึงวงการเทนนิสอย่างมาก แต่เทนนิสจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอตลอดไป แม้เราจะไม่ได้เห็นฮินกิสในฐานะผู้เล่นอีกต่อไปแล้วในปีหน้า
พีคเร็วจนเจ็บ
ฮินกิสเริ่มต้นการเป็นนักเทนนิสอาชีพด้วยความสำเร็จล้นหลามจากการคว้าแชมป์แกรนด์สแลมประเภทเดี่ยวได้ถึง 5 สมัย ประกอบไปด้วย ออสเตรเลียน โอเพ่น 3 สมัย และยูเอส โอเพ่นกับวิมเบิลดันอย่างละสมัย นอกจากนั้นแล้ว เธอยังกวาดแชมป์แกรนด์สแลมประเภทหญิงคู่ได้ครบทุกรายการในปี 1998 จนขึ้นเป็นมือหนึ่งของโลกของทั้งสองประเภทได้สำเร็จ แต่ด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บรุมเร้า เธอจึงประกาศรีไทร์ไปในปี 2003 ด้วยวัยเพียง 22 ปี เท่านั้น
ลาวงการครั้งที่สอง
ในปี 2006 ฮินกิสหวนกลับสู่วงการเทนนิสอีกครั้ง โดยเปลี่ยนมาแข่งในประเภทคู่เป็นส่วนใหญ่ แต่หลังคืนคอร์ตได้เพียงปีเดียว เธอก็ได้ประกาศแขวนแร็กเกตอีกครั้งแบบช็อกวงการ เมื่อถูกสั่งแบนเป็นเวลาสองปีจากการตรวจพบโคเคนในร่างกายของเธอ
กลับคืนวงการอีกครั้ง
หลังห่างหายจากคอร์ตไปถึง 7 ปี ฮินกิสคัมแบ็คสู่วงการลูกสักหลาดเป็นครั้งที่สาม ในปี 2013 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ได้รับการบรรจุชื่อเข้าสู่หอเกียรติยศ “เทนนิส ฮอล ออฟ เฟม”
การกลับมาครั้งนี้เธอทำให้คนดูรู้สึกราวกับว่าไม่ได้หายจากวงการไปไหนในช่วงที่ผ่านมา เพราะนับตั้งแต่กลับมาลงแข่งอีกครั้ง สวิสมิสก็คว้าแชมป์แกรนด์สแลมประเภทหญิงคู่ได้ถึง 3 รายการ คือ ออสเตรเลียน โอเพ่น (ปี 2016), วิมเบิลดัน (2015) และยูเอส โอเพ่น (2015, 2017) ขาดแค่แชมป์ เฟร้นช์ โอเพ่น เท่านั้น
ขณะที่ในประเภทคู่ผสม ก็ผลงานยอดเยี่ยมไม่ต่างกัน โดยคว้าแชมป์ได้ถึง 5 ครั้ง จากออสเตรเลียน โอเพ่น (2015), เฟร้นช์ โอเพ่น (2016), วิมเบิลดัน (2015, 2017) และยูเอส โอเพ่น (2015, 2017) จนทำให้ปีนี้ ฮินกิสก็ได้กลับขึ้นไปเป็นมือหนึ่งของโลกในประเภทคู่อีกครั้ง
สำหรับการรีไทร์ครั้งที่ 3 ของฮินกิส เธอกล่าวทิ้งท้ายแบบติดตลกไว้ว่า “นี่ไม่ใช่การจากลา เพราะจากอดีตที่ผ่านมาก็เห็นกันอยู่แล้วว่า ฉันไม่เคยอยู่ห่างจากเทนนิสได้นานนักหรอก!”