ในที่สุด การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ก็ได้อนุมัติงบจากรัฐบาลในการนำไปต่อสัญญาจัดศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือโมโตจีพี ในประเทศไทยออกไปอีก 5 ปี (ปี 2027-2031) อย่างไรก็ดี ThaiGP ซึ่งเป็นโฮมเรซของนักบิดไทยอย่างน้อย 1 รุ่นมาตลอดนับตั้งแต่จัดครั้งแรก กำลังจะไม่มีนักบิดไทยบนกริดสตาร์ต
นับจากปี 2018 ที่สนามช้างฯ เป็นเจ้าภาพโมโตจีพี แฟน ๆ ชาวไทยที่นอกจากจะตื่นเต้นไปกับเหล่านักบิดซูเปอร์สตาร์ในรุ่นโมโตจีพีแล้ว เรายังได้ส่งเสียงเชียร์นักบิดไทยในการแข่งขันมาต่อเนื่อง ทั้งนักบิดฟูลไทม์และไวด์การ์ด ตั้งแต่ ชิพ นครินทร์, ก้อง สมเกียรติ, เขมินทร์ คูโบะ, ก๊องส์ ธัชกร มาจนถึงปีนี้ที่พีคสุด ๆ เมื่อ สมเกียรติ ได้ขึ้นสู่พรีเมียร์คลาส
ทว่าข่าวดีที่แฟนมอเตอร์สปอร์ตรอคอยมาตลอด กับการที่ไทยจีพีกำลังจะได้ต่อสัญญาจัดการแข่งขันต่อไปถึงปี 2031 ดันมามาพร้อมกับอีกข่าวที่ทำให้การต่อสัญญา ThaiGP เฮได้ไม่สุดเสียง เพราะแน่นอนแล้วว่าในฤดูกาลหน้า ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของสัญญาเดิม เราจะไม่มีนักบิดไทยแบบฟูลไทม์แม้แต่คนเดียวลงแข่งโฮมเรซเป็นครั้งแรก
ที่ต้องย้ำว่าเป็นนักบิดฟูลไทม์ ก็เพราะว่าเมื่อถึงเวลาใกล้ ๆ อาจมีนักบิดตัวจริงคนไหนบาดเจ็บแล้วดึงเอานักบิดไทยเรามาขี่แทนหรือไม่ หรือจะมีทีมแข่งค่ายไหนเซอร์ไพรส์ได้สิทธิ์ไวด์การ์ดในสนามแรกหรือไม่ แต่ในเคสหลัง เท่าที่ทราบมาตอนนี้ ยังไม่มีครับ ฉะนั้น น่าสนใจว่าโมโตจีพี 2026 ที่จะเปิดฉากที่บุรีรัมย์ กระแสแฟนความเร็วคนไทยจะลดลงหรือไม่
ปฏิเสธไม่ได้ครับว่ากระแส “สมเกียรติฟีเวอร์” คือพลังขับเคลื่อนที่ทำให้ ThaiGP เมื่อต้นปีคึกคักถึงขีดสุด ฉะนั้น การขาด “โฮม ฮีโร่” ย่อมส่งผลกระทบต่อกระแสความนิยมแน่ ๆ ทว่าสิ่งที่ต้องมองต่อไปหลังจากนี้ คือเมื่อไรเราจะมีนักบิดไทยกลับสู่กริดสตาร์ตอีกครั้ง และจะมีโอกาสนั้นทันภายในระยะสัญญาใหม่ในช่วง 5 ปีหลังจากนี้หรือไม่
ถ้ามองต่อไปอีก เรามีนักบิดไทยที่ดีพอที่จะก้าวขึ้นมาหรือยัง จากยุคของฟิล์ม รัฐภาคย์ เราต่อด้วยชิพ นครินทร์ และมีก้อง สมเกียรติ แล้วตอนนี้ใครจะขึ้นมารับไม้ต่อจาก SC35 ซึ่งหากดูตามเส้นทางที่ใกล้ที่สุด คิวต่อไปอาจจะเป็น “ไม้คิว” เกียรติศักดิ์ สิงหพงศ์ ที่ปัจจุบันอยู่ใน FIM JuniorGP World Championship และ Red Bull MotoGP Rookies Cup
นอกจากนี้ หากไปดูในรายการ Idemitsu Asia Talent Cup ก็มีนักบิดไทยทั้งในสังกัดไทยฮอนด้า และนอกสังกัด ผลงานดีอยู่หลายคน ก็อาจเป็นอีกหนึ่งเวทีที่จะมีโอกาสต่อยอดไปสู่การแข่งขันในระดับยุโรปได้ ทว่าเมื่อถึงเวลาแล้ว จังหวะและโอกาส รวมถึงเงินทุนสนับสนุนจะเพียงพอที่จะทำให้คนไทยกลับสู่ 3 รุ่นหลักได้หรือไม่
บทสัมภาษณ์หนึ่งที่ผมเคยถาม มาร์ค เว็บเบอร์ สมัยที่เขามาขับรถเอฟวันทีมเรดบูลล์โชว์ที่ราชดำเนิน ว่ามีคำแนะนำเด็ก ๆ ที่อยากจะโตขึ้นมาเป็นนักขับเอฟวันอย่างไร เว็บเบอร์บอกตรง ๆ ว่า “ทำอย่างไรก็ได้ให้น้อง ๆ ได้มีโอกาสไปแข่งในยุโรปให้เร็วที่สุด ยิ่งไปตั้งแต่เด็ก ๆ ยิ่งมีโอกาสมาก” คำพูดนี้คือความจริงครับ ทั้งฝั่งเอฟวันและโมโตจีพี
เพราะศูนย์กลางของการแข่งขันระดับฐานล่างของพีระมิดมอเตอร์สปอร์ตอยู่ในยุโรป ซึ่งหากกลับมามองที่นักบิดไทย ต้องยอมรับว่านอกจากฝีมือและความเร็วแล้ว ยังต้องมี “เงินทุน” ด้วยเป็นสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาเงินทุนเหล่านั้นมาจาก ค่ายรถอย่างฮอนด้า, ยามาฮ่า หรือเหล่าสปอนเซอร์ รวมถึงบางเคสก็เป็นผู้ปกครองของน้อง ๆ เอง
“น้องวินนี่” ธนัชชานนท์ ศรีเพชรสุวรรณ คือ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดที่เดินทางไปฝังตัวในยุโรปด้วยทุนส่วนตัวเป็นหลัก จนตอนนี้น้องเขาได้เข้าสู่ Idemitsu Asia Talent Cup 2026 แล้ว ถือเป็นอีกหนึ่งดาวรุ่งที่น่าจับตามองครับ และน่าสนใจว่าภายในปี 2031 จะมีใครบ้างที่จะได้ลงบิด ThaiGP บนสนามโฮมเรซของตัวเอง