ศูนย์สื่อสารองค์กร จุฬาฯ ชวน AFP และ Google News Initiative แนะนำสกิล Fact Check ตรวจสอบข่าวปลอม ทักษะจำเป็นของชาวโซเชียลยุคใหม่ พร้อมเปิดหลักสูตรออนไลน์ด้าน Fact Check ให้ผู้สนใจเรียนรู้ฟรี! เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อข่าวลวง
“จริงหรือลวง” คำถามสำคัญที่ชาวเน็ตควรตั้งสติและคิดก่อนกดแชร์ภาพ คลิป และเนื้อหาต่าง ๆ ที่ปรากฏบนสื่อโซเชียล
ในยุคที่ใคร ๆ ก็สามารถผลิตคอนเทนต์และส่งสารได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วด้วยสมาร์ตโฟน อาจมีผู้เจตนาเผยแพร่ ‘ข่าวปลอม’ บิดเบือนความจริง โดยหวังผลที่จะสร้างความเกลียดชัง ความเข้าใจผิด เรียกร้องความสนใจ หรือหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง อีกทั้งยังมีผู้เจตนาดี “ที่ไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล” แล้วแชร์ข่าวปลอมเหล่านั้นต่อ ส่งผลให้ข้อมูลเท็จแพร่กระจายในวงกว้างและส่งผลกระทบต่อสังคมหรืออาจรวมถึงความมั่นคงของชาติได้
Fake News หรือข่าวปลอมเป็นเรื่องที่คนในสังคมรู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่อาจจะยังไม่รู้ทัน หรือไม่เท่าทัน ศูนย์สื่อสารองค์กร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ จึงได้ร่วมมือกับสำนักข่าวระดับโลก AFP และ Google News Initiative จัดการอบรม “FACT CHECK: Digital Investigation Techniques Workshop” ให้กับสื่อมวลชน และบุคลากรในแวดวงสื่อ ซึ่งในการอบรมครั้งนี้ได้คุณ Sophia Xu ผู้จัดการฝึกอบรมดิจิทัลประจำเอเชียแปซิฟิก ฮ่องกง มาเป็นวิทยากร ให้ความรู้ เทคนิคและเครื่องมือสำหรับ Fact Check เพื่อตรวจสอบความจริงบนโลกโซเชียล 3 วิธี ได้แก่
- วิธีค้นหาว่าใครเป็นผู้เผยแพร่ภาพนี้เป็นคนแรกและเผยแพร่เมื่อใด
- วิธีค้นหาเบาะแสเพิ่มเติมจาก “ภาพไร้ที่มา” ด้วยแผนที่ออนไลน์
- วิธีค้นหาพยานในเหตุการณ์และตรวจสอบภาพถ่าย
ด้วยเครื่องมือและเทคนิคพื้นฐาน 3 วิธีดังกล่าว ศูนย์สื่อสารองค์กร จุฬาฯ หวังว่าจะช่วยให้ชาวเน็ตยุคใหม่เป็นผู้ส่ง-รับสารที่มีความรับผิดชอบ ใช้สื่ออย่างมีวิจารณญาณและมีทักษะการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อที่จะได้ไม่ถูกชักจูงด้วย ‘ข่าวปลอม’ โดยเฉพาะสื่อประเภทภาพถ่ายและวิดีโอ ที่ในปัจจุบันสามารถนำมาแอบอ้างได้ง่ายและตรวจสอบได้ยากที่สุด
วิธีค้นหาว่าใครเป็นผู้เผยแพร่ภาพนี้เป็นคนแรกและเผยแพร่เมื่อใด
ในยุคที่เราสามารถดาวน์โหลดภาพต่าง ๆ บนโลกอินเทอร์เน็ตได้อย่างง่าย อีกทั้งยังสามารถโพสต์ภาพข้อความได้อย่างอิสระ ทำให้หลายครั้งมีการนำภาพที่เคยเผยแพร่แล้วบนโลกอินเทอร์เน็ตมาใช้ซ้ำ ซึ่งก็มีทั้งใช้กับข้อความที่มีบริบทเดียวกับภาพต้นฉบับ บริบทที่คล้ายกัน หรืออาจเป็นบริบทอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับต้นฉบับเลย รวมถึงการใช้ภาพสต็อกเพื่อประกอบบทความให้สวยงาม โดยที่อาจไม่ได้คำนึงถึงที่มาของภาพมากนัก
เมื่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้เห็นภาพพร้อมข้อความนั้นเป็นครั้งแรก ก็อาจเข้าใจได้ว่าภาพนั้น ๆ มีความเกี่ยวข้องกับข้อความที่เราได้เห็นและเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วภาพและข้อความที่เราได้เห็นอาจถูกนำมาใช้ซ้ำโดยไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ของผู้เผยแพร่คนแรก หรือเจ้าของภาพก็เป็นได้ เมื่อเราหรือสื่อมวลชนนำไปเผยแพร่ต่อก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดในวงกว้างมากขึ้น
ดังนั้น วิธีการตรวจสอบสำคัญคือการค้นหาว่า ภาพนั้นเผยแพร่ครั้งแรก “ที่ใด” และ “ใคร” เป็นผู้เผยแพร่
วิธีการตรวจสอบที่ง่ายที่สุดที่สามารถทำได้ผ่านคอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟนคือการตรวจสอบที่มาของภาพผ่าน Google Lens ด้วย 3 ขั้นตอนง่าย ๆ ดังต่อไปนี้
- เปิดเว็บไซต์ www.google.com เลือก “ค้นหาจากภาพ” แล้วอัปโหลดภาพที่เราต้องการหาแหล่งที่มา
- เลือกที่ “เกี่ยวกับรูปภาพนี้” (About this image)
- ระบบจะขึ้นเว็บไซต์ที่มีภาพดังกล่าวพร้อมวันที่เผยแพร่ และบอกว่าภาพนั้นถูกโพสต์บนอินเทอร์เน็ตเป็นระยะเวลาเท่าใด

ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ว่า ภาพนั้นเผยแพร่ครั้งแรก “ที่ใด” และ “ใคร” เป็นผู้เผยแพร่ โดยดูจากวันที่เผยแพร่ที่ขึ้นในหน้าดังกล่าว ให้ค้นหาจนกว่าจะพบภาพที่เป็นต้นฉบับและตรวจสอบจากแหล่งข่าวหลาย ๆ แห่งเพื่อดูว่าเนื้อหาจากแหล่งต่าง ๆ เป็นไปในทางเดียวกันหรือไม่
นอกจาก Google แล้ว ยังมีโปรแกรมค้นหา (Search Engine) อีกหลายแหล่งที่สามารถใช้ฟังก์ชันนี้ได้เช่นกัน ได้แก่ Yandex, Microsoft Bing, TinEye, Baidu, InVID-WeVerify และ RevEye โดยมีรูปแบบการทำงานคล้ายกับ Google Lens
อกจากรูปภาพแล้ว เรายังสามารถหาที่มาของคลิปวิดีโอได้เช่นกัน ผ่านปลั๊กอิน InVID-WeVerify ซึ่งเป็นโปรแกรมที่สามารถแยกคีย์เฟรมในคลิปวิดีโอได้
- เปิด ปลั๊กอิน InVID-WeVerify แล้วเลือก Open Toolbox
- กด Video > กด Keyframe แล้วอัปโหลดคลิปวิดีโอที่ต้องการตรวจสอบ
- เมื่ออัปโหลดเสร็จแล้วโปรแกรมจะขึ้นเฟรมภาพจากคลิปวิดีโอ ให้เลือกภาพใน Fragmentation & Keyframes ที่ต้องการแล้วคลิกขวา
- เลือกที่ fake news debunker by InVID-WeVerify แล้วเลือก Image Reverse Search เพื่อค้นหาภาพผ่านโปรแกรมค้นหาที่ต้องการ อาทิ Google Lens, Yandex, Baidu แล้วสู่กระบวนการค้นหาเช่นเดียวกับการค้นหาภาพ

เพียงเท่านี้เราก็สามารถตรวจสอบได้ว่าภาพและวิดีโอบนอินเทอร์เน็ตถูกโพสต์ครั้งแรกเมื่อใดและใครเป็นคนโพสต์ภาพนั้นคนแรก
วิธีหาเบาะแสเพิ่มเติมจาก “ภาพไร้ที่มา” ด้วยแผนที่ออนไลน์
หลังจากที่ทราบที่มาของภาพและผู้เผยแพร่ แต่เราก็อาจมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาพดังกล่าวเกิดขึ้นที่ใด เพราะไม่มีอะไรยืนยันว่าแหล่งข่าวที่เผยแพร่ภาพเป็นคนแรกจะเป็นแหล่งข้อมูลที่ถูกต้องเสมอไป โดยเฉพาะสื่อมวลชนเมื่อได้รับภาพจากแหล่งข่าวหรืออินเทอร์เน็ตมาแล้ว ในบางครั้งเราอาจบอกไม่ได้แน่ชัดว่าที่มาของภาพมีความน่าเชื่อถือมากแค่ไหน ทำให้ไม่ควรละเลยการตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง มิเช่นนั้นอาจจะกลายเป็นการนำเสนอข่าวเท็จโดยไม่รู้ตัว
การตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุเบื้องต้นสามารถวิเคราะห์ได้จากองค์ประกอบภาพ ไม่ว่าจะเป็น ธงชาติ ป้ายร้าน ป้ายบอกทาง อนุสาวรีย์ รูปปั้น ตึก เบอร์โทรศัพท์ ในบางกรณีชาติพันธุ์และการแต่งกายของคนในภาพ รวมถึงภาษาก็อาจมีส่วนช่วย แต่อย่างไรก็ตามก็มีโอกาสที่มีความผิดพลาดได้ การเห็นธงชาติก็อาจไม่ได้หมายความว่าเราอยู่ในประเทศนั้น ๆ เพราะอาจจะเป็นนิทรรศการที่จัดขึ้นในต่างประเทศ หรือเป็นการตกแต่งธงเพื่อความสวยงามก็เป็นไปได้
ในกรณีที่ยังตรวจสอบไม่ได้ก็สามารถใช้ Google Maps ก็เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบจากสถานที่จริงได้เลย หลังจากที่เราวิเคราะห์เบาะแสจากองค์ประกอบต่าง ๆ จากภาพแล้ว รวมถึงใช้การค้นหาภาพหรือข้อมูลจากโปรแกรมค้นหาอื่น ๆ ประกอบควบคู่ เราก็จะมีสมมติฐานเบื้องต้นว่าสถานที่ในภาพสามารถเป็นที่ใดได้บ้าง

Photo credit: Dimitar Karanikolov
จากภาพตัวอย่าง จะเห็นได้ว่ามีแลนด์มาร์กสำคัญในภาพคือ หอคอยไอเฟล ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และมีตึกสูงอยู่ทางด้านหลังของหอคอยไอเฟล เมื่อทำการปรับแสงก็จะเห็นว่า ด้านหน้าของหอไอเฟลมีแม่น้ำอยู่


จากนั้นให้เปิด Google Map โดยค้นหาไปที่ “หอคอยไอเฟล ปารีส ฝรั่งเศส” ในโหมดสามมิติ แล้วเลือกมุมมองให้ตรงตามองค์ประกอบของภาพที่เราวิเคราะห์มาก่อนหน้านี้ แล้วขยับให้ได้มุมเดียวกับภาพ เมื่อได้มุมที่เหมาะสมแล้ว เราสามารถกดที่ไอคอนรูปคนสีเหลืองที่มุมขวาล่าง เพื่อดูมุมมอง Street view ได้ โดยเราจะได้เห็นภาพสถานที่จริง ณ ขณะนั้น


นอกจากจะสามารถดูภาพสถานที่จริงติดขอบถนนแบบ Street view ได้แล้ว เรายังสามารถมองภาพจุดนั้นในช่วงเวลาอื่นได้เช่นกัน เนื่องจากในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ก็อาจมีความเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาได้ เพราะในบางครั้งสถานที่ที่เราต้องการค้นหา อาจจะเป็นสถานที่ที่ไม่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน
วิธีค้นหาพยานในเหตุการณ์และตรวจสอบภาพถ่าย
เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่งบนโลก ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ ภัยธรรมชาติ หรือเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เรามีวิธีตรวจสอบอย่างไรได้บ้างว่าใครเป็นผู้เห็นเหตุการณ์บนโลกออนไลน์ และภาพใดบนสื่อโซเชียลที่เป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
ขั้นตอนแรก เราต้องหาคำตอบให้ได้ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่ใด วันใด เวลาใด ต้องใช้ภาษาอะไรจึงจะค้นหาข้อมูลได้มากที่สุดโดยพิจารณาจากพื้นที่หรือประชากร และต้องใช้สื่อโซเชียลมีเดียใดจึงจะเข้าถึงกลุ่มคนเหล่านั้นได้ดีที่สุด
ขั้นตอนต่อมา เมื่อเรารู้ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ใด ให้เข้าไปยังโซเชียลมีเดียที่เราสามารถค้นหาจากพื้นที่ (Location) ได้ เมื่อเราสามารถค้นหาจากพื้นที่ได้ เราจะทราบว่าผู้ใช้โซเชียลบริเวณนั้นกำลังพูดถึงเรื่องใดบ้าง ซึ่งเราสามารถวิเคราะห์แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาเป็นพยานเหตุการณ์ได้ แต่หากเราไม่ทราบสถานที่เกิดเหตุชัดเจนว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ใด ให้นำคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น ๆ ค้นหาในสื่อโซเชียลแทน เช่น แผ่นดินไหว ไฟไหม้ โดยพิจารณาจากภาษาที่คิดว่าคนในพื้นที่จะใช้
ตัวอย่างการค้นหาข้อความจากพื้นที่ บนสื่อ X (Twitter) เราสามารถค้นหาข้อความที่ถูกโพสต์ในบริเวณพื้นที่ที่เราต้องการได้จากรหัส Geocode หรือ พิกัดละติจูดและลองจิจูด ซึ่งเราสามารถหาได้จาก Google Map โดยเราสามารถค้นหาข้อความจากพิกัดด้วยขั้นตอนดังนี้
- เข้า Google Map แล้วเลือกปักหมุดสถานที่ใกล้เคียงหรือบริเวณที่เกิดเหตุการณ์
- คลิกเมาส์ขวา แล้วคลิกที่ Geocode ที่มีลักษณะเป็นตัวเลขยาว ๆ เช่น “13.73375231265437, 100.5284130790436” เมื่อคลิกแล้วจะเป็นการบันทึกอัตโนมัติ โดยแต่ละครั้งที่ทำการบันทึกรหัส Geocode จะแตกต่างกันแม้เป็นสถานที่เดียวกัน
- เข้าไปที่ X แล้วพิมพ์คำว่า “geocode:” ลงในช่องค้นหา ตามด้วยรหัส Geocode ที่คัดลอกมาจาก google Map โดยที่ไม่ต้องเว้นวรรคระหว่างตัวอักษรทั้งหมด จากนั้นตามด้วยรหัสระยะทางด้วยตัวอักษรพิมพ์เล็กทั้งหมด เช่น ,3km (มาจาก 3 กิโลเมตร) หรือ ,3mi (มาจาก 3 ไมล์)
- ดังนั้น รหัสที่จะใช้ค้นหาข้อความบน X จากพิกัด คือ geocode:13.73375231265437,100.5284130790436,3km
- เมื่อกดค้นหาแล้วจะพบข้อความที่ถูกโพสต์ในบริเวณพื้นที่ที่เรากำหนด

นอกจากการค้นหาผ่านสื่อโซเชียลมีเดียแล้ว อุปกรณ์ถ่ายภาพบางประเภทนอกจากจะบันทึกข้อมูลที่เป็นภาพถ่ายแล้ว ยังมีการบันทึกข้อมูลพิกัดจีพีเอส (GPS) จากสถานที่ถ่ายภาพ และชื่ออุปกรณ์ที่ใช้ถ่ายภาพเอาไว้ด้วย โดยสามารถค้นหาได้จากปลั๊กอินส์ InVID-WeVerify ด้วยขั้นตอน ดังนี้
- เปิด ปลั๊กอินส์ InVID-WeVerify แล้วเลือก Open Toolbox
- กด Image > กด Metadata แล้วอัปโหลดภาพที่ต้องการตรวจสอบ
- เมื่ออัปโหลดเสร็จแล้วโปรแกรมจะขึ้นข้อมูลเกี่ยวกับภาพ อาทิ พิกัดสถานที่ถ่ายภาพ ชื่ออุปกรณ์ที่ถ่าย วันที่บันทึกภาพ การตั้งค่ากล้องถ่ายภาพ ฯลฯ
เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องประเภท การตั้งค่าของอุปกรณ์บันทึก หรือการดัดแปลงภาพผ่านช่องทางอื่น อาจทำให้ภาพที่มาจากที่มาที่แตกต่างกันแสดงจำนวนข้อมูลที่ไม่เหมือนกันได้
ทั้ง 3 วิธีตรวจสอบข่าวปลอมข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการ Fact Check หรือการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการหลงเชื่อและการส่งต่อข่าวปลอม
ในทางปฏิบัติจริงด้านวารสารศาสตร์ยังมีกระบวนการตรวจสอบและข้อควรระวังอีกหลายประเด็น รวมถึงอาจจะต้องใช้การตรวจสอบข้อเท็จจริงหลาย ๆ วิธีร่วมกัน ซึ่งนอกวิธีข้างต้นที่กล่าวมาแล้วยังมีวิธีอื่น ๆ และเครื่องมืออีกมากมายที่สามารถช่วยให้เราสามารถตรวจสอบข่าวได้ละเอียดมากขึ้น
ผู้สนใจศึกษาเพิ่มเติมสามารถลงเรียนหลักสูตรออนไลน์ด้าน Fact Check โดยวิทยากรจาก AFP Digital Courses ได้ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายที่เว็บไซต์ https://digitalcourses.afp.com/ โดยเมื่อเรียนจบแต่ละหลักสูตร ผู้เรียนจะได้รับประกาศนียบัตรออนไลน์จาก AFP
ข้อมูลจาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย





























