F1 The Movie หนัง ก็คือ หนัง

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องราวของ F1 The Movie เด้งขึ้นมาบนหน้าฟีดเฟซบุ๊กของผมเต็มไปหมด จากที่ตั้งใจว่าจะรอดูทาง Apple TV+ จึงต้องเข้าไปดูในโรงหนังให้รู้เรื่องกันไปครับ

ใครที่ได้ติดตามการแข่งขันเอฟวันในช่วง 2 ปีล่าสุด เราจะเห็น แบรด พิตต์ ปรากฏตัวในชุดแข่งสีขาวอยู่หลายสนาม บางสนามเนียน ๆ ลงไปเดินกับนักแข่งก็มี ซึ่งตั้งแต่ตอนนั้นมีการเปิดเผยให้ทุกคนได้รู้ว่านั่นคือโพรเจกต์ยักษ์ F1 The Movie และยิ่งพอถึงกำหนดหนังเข้าฉายพร้อมกันทั่วโลก แรงโปรโมตก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ

หากนึกถึงหนังรถแข่ง (ย้ำว่าหนังรถแข่ง ไม่ใช่หนังรถซิ่งนะครับ) สำหรับผมตั้งแต่ยุค 90 ต่อถึง 2000 จะมี Days of Thunder, Driven และ Michel Vaillant มาจนถึงยุคใหม่ ที่มี Rush และ Ford v Ferrari ที่เรียกเรตติ้งได้กระฉูด ยังไม่รวมหนังแนวสารคดีอย่าง Senna ที่ใช้ฟุตเทจเก่าทั้งหมดมาร้อยเรียงได้อย่างไร้ที่ติ

หลังใช้เวลา 2 ชม. 36 นาที บวกกับดูโฆษณาและหนังตัวอย่างร่วม 30 นาที สำหรับการดูหนังเอฟวันเวอร์ชันฮอลลีวูด บอกเลยว่าหากใครชอบเอฟวันอยู่แล้ว จะเพลิดเพลินไปกับรายละเอียดและตัวละครต่าง ๆ ที่เราไม่เคยได้เห็นจากมุมกล้องถ่ายทอดสด และสำหรับใครที่ไม่เคยดูเอฟวันมาก่อน หนังเรื่องนี้อาจทำให้คุณเริ่มต้นชอบเอฟวันก็เป็นได้ครับ

ในมุมของคนที่ดูเอฟวัน และรู้อยู่แล้วว่าเนื้อหาในเรื่องไม่ใช่เรื่องจริง เป็นบทที่ถูกเขียนขึ้นมา แต่หากลงลึงในรายละเอียดของแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกสนาม ผู้กำกับเขามีการทำการบ้านมาเป็นอย่างดี หลายฉากเป็นเหตุการณ์ที่สามารถนำไปเทียบเคียงกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในอดีตได้เกือบทั้งหมด

อย่างฉาก ซอนนี เฮยส์ (แบรด พิตต์) จงใจขับชนให้มีเซฟตีคาร์ออกมาวิ่งในช่วงท้าย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับเพื่อนร่วมทีม โจชัว เพียร์ซ (เดมสัน ไอดริช) จบในอันดับที่มีแต้ม ทำให้นึกถึงเหตุการณ์อื้อฉาว Crashgate ของทีมเรโนลต์ ที่สิงคโปร์ปี 2008 ตอนนั้น เนลสัน ปิเก จูเนียร์ ได้รับใบสั่งให้ชนกำแพง เปิดทางให้ทีมเมท เฟร์นานโด อลอนโซ่ ขยับขึ้นไปชนะในเรซนั้น

เหตุการณ์ Crashgate จบลงด้วย ฟลาวิโอ บริอาตอเร่ ทีมบอสเรโนลต์ถูกสั่งแบนตลอดชีวิต แต่ใน F1 The Movie แม้จะมีการตั้งคำถามจากสื่อ แต่ก็ไม่มีบทลงโทษใด ๆ ครับ เหตุผลง่าย ๆ เพราะมันคือหนังครับ (ฮา ๆ) ส่วนฉากหลุดโค้งพาราโบลิกาที่สนามมอนซาของ โจชัว เพียร์ซ ก็เทียบได้กับอุบัติเหตุของ Alexander Peroni ใน F3 บวกกับจังหวะไฟไหม้รถของ โรแมง โกรส์ชอง ที่บาห์เรน

รวมไปถึงการต่อสู้กันเองของ 2 นักขับในทีม ก็ถือเป็นเรื่องปกติที่เราเห็นกันอยู่บนเวทีเอฟวันในทุก ๆ ยุค ยิ่งในเรื่องนี้ ลูอิส แฮมิลตัน มีส่วนช่วยในฐานะที่ปรึกษา จากประสบการณ์ที่เขาเคยห้ำหั่นกับเฟร์นานโด อลอนโซ ในทีมแม็คลาเรน รวมถึง สมัยดวลกับนิโค รอสเบิร์ก ในทีมเมอร์เซเดส ก็ได้ถ่ายทอดมาสู่คู่หู ซอนนี-โจชัว ด้วยเช่นกัน

F1 The Movie ถือเป็นการต่อยอดจาก Drive to Survive ซึ่งเป็นซีรีส์เบื้องหลังเอฟวันทาง Netflix ซึ่งทั้ง 2 โพรเจกต์แม้จะมีแนวทางนำเสนอที่ต่างกัน แต่เป็นความบันเทิงที่ Liberty Media กลุ่มเจ้าของลิขสิทธิ์เอฟวันตั้งใจให้ต่อยอดทางการตลาด ควบคู่ไปกับการเพิ่มฐานแฟนความเร็วอย่างได้ผลที่สุดครับ

สุดท้ายสิ่งที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ คือเราได้เห็นภาพต่าง ๆ จากสนามแข่งจริงในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ได้เห็นนักแข่ง-ทีมบอสตัวจริงมามีส่วนร่วมในการแสดง ได้เห็นคาแรกเตอร์ของเอฟวันในยุคนี้ แม้พล็อตเรื่องจะเป็นแนวทางแบบฮอลลีวูดที่เดาได้ไม่ยากก็ตามที แล้วคุณล่ะครับ ดู F1 The Movie แล้วคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง