ข่าวที่ร้อนแรงที่สุดในโลกเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เห็นจะไม่หนีไปจากข่าวที่ สหรัฐอเมริกาประกาศแบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok ด้วยสาเหตุหลัก ๆ คือความมั่นคงทางไซเบอร์ ที่มีหลายหน่วยงานในสหรัฐอเมริกาตั้งข้อสังเกตว่าการติดตั้ง แอปพลิเคชัน TikTok โดยผู้ใช้อเมริกันชนนั้น โอกาสถูกสอดแนมสูง
ขณะเดียวกันความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้งาน รวมไปถึงบริษัทแม่ของ TikTok อย่าง ByteDance นั้นยังเป็นบริษัทสัญชาติจีน สร้างความหวาดระแวงให้กับบิ๊กบราเธอร์ของฝั่งตะวันตกไม่น้อย ซึ่งการตอบโต้ของสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้นับเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจและอาจมีหลายประเทศดำเนินรอยตาม
แต่ในจำนวนนั้นไม่น่าจะมีประเทศไทยค่ะ เพราะอีกหนึ่งข่าวที่ออกมาไล่เลี่ยกันกับ TikTok ในสหรัฐฯ คือข่าวสมาร์ตโฟนเจ้าดังสองยี่ห้อ (ที่มีเจ้าของเป็นบริษัทเดียวกัน) ดันมีแอปพลิเคชันกู้เงินฝังมากับตัวเครื่อง ซึ่งกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ในเมืองไทย
กรณีดังกล่าว มีโอกาสเข้าข่ายความผิดในกฎหมาย PDPA รวมไปถึง พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ แต่ภายหลังจากที่เรื่องดังกล่าวกลายเป็นกระแสในวงกว้าง ผู้บริหารออกมาแถลงและยกมือไหว้ขอโทษ ในขณะเดียวกันก็ประกาศว่าจะยกเลิกการติดตั้งแอปพลิเคชันกู้เงินบนระบบปฏิบัติการ และเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถลบแอปฯ ออกจากเครื่องได้เอง
จากเรื่องดังกล่าว ทำให้หลายคนมีคำถามว่า “ความเป็นส่วนตัว” ของคนไทยนั้นอยู่ตรงไหน ในเมื่อภาครัฐปล่อยปละละเลย จนทำให้สมาร์ตโฟนต่างชาติที่มาจำหน่ายในเมืองไทยสามารถลงแอปพลิเคชันบนระบบปฏิบัติการโดยไม่มีการตรวจสอบ
นี่ยังไม่รวมกับการเปิดให้เหล่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย สตรีมมิ่ง รวมไปถึงอีคอมเมิร์ซทั้งหลาย สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานชาวไทยได้ชนิดฝังตัวอยู่บนหัวนอน เพราะบรรดาโซเชียลมีเดียทั้งหลายต่างเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานชาวไทย จนสามารถสร้างอัลกอริทึมเพื่อทำให้ผู้ใช้งานได้เห็นได้รู้แต่เฉพาะเรื่องที่พวกเขาสนใจ แถมยังทำมาหากินโดยไม่ต้องเสียภาษีเท่าผู้ประกอบการในไทย เพราะตั้งบริษัทในต่างประเทศ
การเปิดกว้างในลักษณะนี้ รวมกับวิธีจัดการแบบ “ถ้อยทีถ้อยอาศัย” หลายคนจึงมีคำถามว่าสิทธิในเรื่องความเป็นส่วนตัวของคนไทยนั้นอยู่ตรงไหน หาก กสทช. หรือหน่วยงานตำรวจไซเบอร์ หรือศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ จะลุกขึ้นมาทำงานร่วมกับกระทรวง ICT เพื่อจัดระเบียบเทคโนโลยีและไซเบอร์ในเมืองไทยอย่างเข้มข้น
เราคงได้เห็นกันบ้างว่าเว็บพนันหรือเพจเฟซบุ๊กมิจฉาชีพ รวมไปถึงแอปพลิเคชันต่างชาติที่สามารถเปิดใช้ได้ง่าย ๆ ในเมืองไทยโดยไม่มีการตรวจสอบก่อนนั้นน่าจะลดน้อยลงไปบ้าง แต่เรื่องดังกล่าวคงได้แต่สวดมนต์ภาวนาว่าให้เกิดขึ้น
เพราะขนาดการท่องเที่ยวไทยยังเปิดกว้างให้ใครก็ได้เข้าประเทศ จนทำให้เวลานี้ เมืองไทยแทบจะเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมของภูมิภาคไปแล้ว สถานการณ์ที่ “ทุกคนเอาแต่ได้” สุดท้ายคงได้แต่เพียงอุทานว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ
แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ