นับเวลาถึงป่านฉะนี้กลางเดือนมกราคมเข้าไปแล้ว หาได้มีข่าวดีจากถิ่นแอนฟิลด์เรื่องการต่อสัญญากับสุดยอดดาวดังทั้ง 3 คนในทีม ไม่ว่าจะเป็นโมฮัมเหม็ด ซาลาห์, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ หรือสุดท้ายแล้วแฟนหงส์จะต้องทำใจในการเสียพวกเขาไปทั้งหมดในช่วงซัมเมอร์นี้?!
รายแรก “ราชาจากอียิปต์” อย่าง ซาลาห์ นั้น อยู่ในวัย 32 แม้จะผลิตสกอร์ให้ลิเวอร์พูลมาอย่างต่อเนื่อง 8 ฤดูกาลเต็ม ๆ และพร้อมจะทำลายสถิติต่าง ๆ ให้กับทีมอีกมากมาย แต่เนื่องด้วยเพดานค่าเหนื่อยเดิมอันสูงลิ่วของเขา นั่นหมายความว่า ถ้าจะฝากอนาคตกันต่อไปอีก สโมสรจะต้องอัปตัวเลขขึ้นไปอีก นั่นหมายถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวกับความคุ้มค่าทางธุรกิจ
เช่นเดียวกับ ฟาน ไดค์ บนวัย 34 ปีนี้เขากลับมาเล่นอย่างเหนือชั้น แต่ใครจะการันตีได้ว่าปีหน้าเขาอาจรักษาทรงรักษาความฟิดเอาไว้ไม่ได้ การจ่ายค่าเหนื่อยเพิ่มมากขึ้นให้กับผู้เล่นในวัยขนาดนี้ถือเป็นเรื่องที่ผู้บริหารจะต้องเจรจาหนักจริง ๆ
สำหรับ เทรนต์ เป็นกรณีที่แตกต่าง ๆ ออกไปเพราะอายุยังน้อยเพียง 26 ปี แต่ด้วยความเป็นสตาร์ที่สามารถเปลี่ยนเกมได้ด้วยการสัมผัสบอลเพียงครั้งเดียว ทำให้เขามีความทะเยอทะยาน และสโมสรใหญ่ที่ไหนก็อยากได้ตัวแบ็กขวาจอมบุกผู้นี้ทั้งนั้น ถ้าไล่ลำคับความสำคัญแล้ว สโมสรก็น่าจะอยากได้ดีลกับ เทรนต์ ก่อนใคร เพราะมีอนาคตมากที่สุด
แต่พอหันไปดูอัตราต่อรองโอกาสอยู่-ย้ายของทั้ง 3 รายนั้น ปรากฏว่าสถานเดิมพันในอังกฤษนั้นให้เปอร์เซ็นต์การอยู่ต่อในรังแอนฟิลด์ของ ซาลาห์ กับ ฟาน ไดค์ ค่อนข้างสูง ตรงกันข้ามกับในรายของกองหลังทีมชาติอังกฤษ ที่บรรดาเกจิมองว่ามีโอกาสหอบผ้าหอบผ่อนหนีทีมมากกว่า อาจเป็นเพราะมีข่าวว่าทีมใหญ่อย่าง เรอัล มาดริด มาเที่ยวไล้เที่ยวขี่ออยู่ด้วย
ถ้าดูภาษากายในสนามก็พอสังเกตได้ว่า เทรนต์ นั้นมีความกดดันสูงสุด ต่างกัน ซาลาห์ และฟานไดค์ ที่ยังเล่นแบบสบายใจเฉิบอยู่
แต่สุดท้ายมันไม่ได้หมายความว่า ผลลัพธ์จะออกมาอย่างที่ทุกคนคาดการณ์เสมอไป ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สโมสรต้องพิจารณาอีกตั้งมากมาย
บทเรียนของการรักษาผู้เล่นเก่าและสูงวัยที่ประสบความสำเร็จเอาไว้กับทีมนานเกินไป ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องพิจารณา ดูตัวอย่าง แมนฯ ซิตี้ ที่กอดตำนานอย่าง ไคล์ วอล์คเกอร์, เควิน เดอ บรอยน์, อิลคาย กุนโดกัน, แบร์นาโด้ ซิลวา, จอห์น สโตนส์ ไว้นานเกินไปจนผลัดใบไม่ทัน ทำให้เกิดฟอร์มร่วงเอาดื้อ ๆ ในฤดูกาลนี้
ผู้บริหารลิเวอร์พูลเองอย่าง ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ก็เป็นพวกชอบซื้ออนาคต แถมยังต้องยึดมั่นในนโยบาย Money Ball รวมทั้งตัวผู้จัดการทีม อาร์เน่อ สล็อด เองด้วย เขามีแนวความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน เห็นการให้โอกาสผู้เล่นดาวรุ่งหลากหลายในทีมลงไปโชว์ฝีเท้าในศึกเอฟ.เอ.คัพ กับ แอคคริงตัน แล้ว ผมก็มีความสุข
สรุปว่า ถ้าจบฤดูกาลแล้วจะไม่มีการต่อสัญญาใครสักคน ผมก็จะไม่แปลกใจใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะสำหรับทั้งสามรายแล้ว มันคือการเซ็นสัญญาใหญ่ครั้งสุดท้ายของอาชีพการค้าแข้งของพวกเขา ดังนั้น เอเย่นต์ตัวแสบของบรรดานักเตะ จะต้องเข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องอย่างมากมายมหาศาล เพื่อให้ได้ดีลที่ดีที่สุด และการให้ออปชันเพิ่มกับใครรายหนึ่งก็ย่อมส่งผลกระทบต่อดีลอีกสองคน
เอาเข้าจริงมันก็คือหม้อข้าวเดียวกัน คงเป็นไปไม่ได้ที่ ลิเวอร์พูล จะจ่ายค่าเหนื่อยให้กับนักเตะระดับ 3 แสนปอนด์ต่อวีค 2 คนในทีม บวกกับ 4 แสนปอนด์ต่อวีคอีกหนึ่งราย ความผูกพันกับธุรกิจนั้นมักจะเดินขนานกันเสมอ
สุดท้ายแล้ว ถ้าเต็มที่เรื่องการเงินจริง ๆ คาดการณ์ว่าคงจะต่อได้มากสุดแค่ 2 ราย ไม่ ฟาน ไดค์ ก็ เทรนต์ คนใดคนหนึ่ง บวกกับ ซาลาห์ ในแดนหน้า อันนั้นกรณีโชคดี
แต่ถ้าตอนจบจริง ๆ หาก ลิเวอร์พูล สามารถเก็บไว้ได้สักคนจากบรรดาสามรายนี้ก็ก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว ต้องท่องเอาไว้ว่า ไม่มีนักเตะรายใดที่หาตัวแทนไม่ได้ และการสร้างทีมใหม่นั้นถือเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกัน
บางครั้งแค่ทำช้าเกินไปก็ส่งผลเสียหายอย่างมหันต์แล้ว.