ในยุคเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยียานยนต์จากรถยนต์เครื่องสันดาปไปสู่รถพลังงานทางเลือก ที่มีทั้งไฟฟ้าล้วน ไปจนถึงการพัฒนาเทคโนยีต่าง ๆ อาทิ เชื้อเพลิงสังเคราะห์ รวมถึงไฮโดรเจน ทว่าในช่วงเปลี่ยนผ่านแบบนี้ “รถยนต์ไฮบริด” ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ที่ตอบโจทย์ทั้งความแรงและความประหยัด
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมและทีมงาน World of Speed PPTV มีโอกาสได้สัมผัสกับ All-New MG3 Hybrid+ รถไฮบริดน้องใหม่ที่สื่อสายรีวิวแทบจะทุกสำนักต่างกดไลก์ให้แบบรัว ๆ ซึ่งหลังจากที่ผมเองได้ลองขับอยู่ราว 1 สัปดาห์ ต้องบอกว่าคงต้องขอกดไลก์ด้วยเช่นกันครับ
บอดี้ของ MG3 Hybrid+ เป็นรถเล็กในกลุ่ม B-Segment แต่ทีเด็ดที่ซ่อนอยู่ก็คือขุมพลังไฮบริดที่อยู่ใต้ฝากระโปรง เพราะเป็นรถเล็กที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร บวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้า MG3 เวอร์ชันใหม่นี้ แรงจัดจ้านเกินตัวจริง ๆ ครับ
ด้วยความที่มีมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ตัวแรกจะทำหน้าที่เป็นมอเตอร์ขับเคลื่อน และอีกหนึ่งตัวจะทำหน้าที่มอเตอร์ปั่นไฟ ซึ่งพอได้ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์แล้วให้กำลังรวมสูงถึง 194 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-AT 3 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า FWD เร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 8 วินาที
ซึ่งจากที่ได้ลองขับทั้งในเมือง นอกเมือง บอกเลยว่าเป็นรถเล็กที่มีอัตราเร่งจัดจ้านสุด ๆ จังหวะออกตัวหรือจังหวะเร่งแซง สำหรับผมความรู้สึกราวกับรถไฟฟ้ากลุ่ม D Segment หลักล้านที่เคยได้สัมผัสมาเลยทีเดียวล่ะครับ ส่วนท็อปสปีดจริง ๆ ผมคิดว่าด้วยพละกำลังที่ได้สัมผัสน่าจะไปได้มากกว่านี้ แต่เพื่อความปลอดภัย ตามสเปกจากโรงงาน รถคันนี้จะถูกล็อกความเร็วเอาไว้ที่ 170 กม./ชม. ครับ
และอีกหนึ่งจุดเด่นคือช่วงล่าง เพราะเป็นระบบช่วงล่างที่พัฒนามาในสไตล์รถยุโรปในรูปแบบ Global Model ถือว่าวางใจได้เลย ตัวรถมีความนิ่ง เข้าโค้งเร็ว ๆ เอาอยู่ รวมถึงสเปกยางก็ให้ยางหน้าสัมผัสกว้าง (หากเทียบกับรถเล็ก B-Segment ด้วยกัน) MG3 Hybrid+ ให้ยาง 195/55 R16 ก็ยิ่งทำให้มีผิวสัมผัสพื้นถนนเพิ่มขึ้นไปด้วย
จุดเดียวที่ผมแอบเสียดายในรถคันนี้ คือพื้นที่นั่งในห้องโดยสารเบาะแถวสอง พื้นที่วางขาออกจะแคบไปนิดครับ สำหรับคนส่วนสูง 178 เซนติเมตรอย่างผม ไปลองนั่งแล้วเข่าติดเบาะหน้า มีอึดอัดเล็กน้อย แต่หากนั่งหน้าเบาะ คนขับและคนนั่งไปกัน 2 คน บอกเลยว่าสบาย ๆ ขับยาว ๆ ได้เลยครับ
ส่วนจังหวะคิกดาวน์ลองมาแล้ว แรงหลังติดเบาะจริง ๆ มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ จังหวะเร่งแซง 80-120 กม./ชม. ภายใน 5 วินาที และไฮไลต์ที่ทำให้ทุกสื่อกดไลก์ คือ ราคา เพราะรถระดับ 194 แรงม้าคันนี้ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 579,900 บาทเท่านั้นเองครับ