เวลาหยิบหนังสือสามก๊กขึ้นมา มักจะมีเสียงค่อนแคะตามหนังสือมาว่า “อ่านสามก๊กจบสามรอบคบไม่ได้” ประโยคนี้ว่ากันว่าเกิดขึ้นเพราะเนื้อหาของสามก๊กนั้นเต็มไปด้วยเล่ห์ทางการเมืองและการจัดการผู้คน ซึ่งอาจทำให้คนที่หลงใหลหนังสือเล่มนี้กลายเป็นตัวละครในนิยายอิงประวัติศาสตร์เล่มนี้ และในขณะเดียวกัน ยังไม่มีใครบอกได้ว่าหากอ่านเกินสามจบ จะยังพอคบได้ไหม (ฮา)
ทั้งนี้ สามก๊กถูกนำมาดัดแปลงเรื่องเล่าประกอบกับงานบริหารธุรกิจหรือการบริหารบุคคลในหลากหลายรูปแบบ อันทำให้สามก๊กในยุคปัจจุบัน แทบจะเป็นคัมภีร์ทางธุรกิจและบริหารบุคคลไปแล้ว
ที่ผ่านมา ผู้เขียนที่อ่านสามก๊กมากกว่าสามรอบ (เพราะตัวละครเยอะ) และได้มีโอกาสอ่านสามก๊กที่ถูกประยุกต์ใช้กับงานบริหารธุรกิจมาหลายเล่ม และเล่มที่ต้องบอกว่าทำให้เห็นภาพซ้อนของเหตุการณ์ในชีวิตจริงสะท้อนอยู่ในตัวละครสามก๊ก เห็นจะเป็นสามก๊ก ฉบับวินทร์ เลียววาริณ
และในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ให้นึกถึงประโยคของสุมาอี้ในสามก๊ก ฉบับวินทร์ เลียววาริณ ในบท “หมากตาบังคับ” ที่สุมาอี้ เสนาบดีแห่งแคว้นวุยก๊ก ที่ปกครองโดยโจโฉ เป็นตัวละครสำคัญที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ระหว่างสามก๊ก กลับมาที่ “หมากตาบังคับ” ในสามก๊ก ฉบับวินทร์ เลียววาริณ ที่ยกเอาช่วงเวลาที่สุมาอี้กำลังนั่งเล่นหมากรุกกับหลานชาย สุมาเอี๋ยน ในวัย 15 ปี
บนกระดานหมากรุกที่ดูเหมือนผู้เป็นปู่กำลังจะพ่ายแพ้ให้กับหลานชายเพราะเสียหมากสำคัญ (ช้าง ม้า เรือ) ไปหมดแล้ว หมากที่เหลือของสุมาอี้ มีเพียงแค่เบี้ยบนกระดาน ผู้เป็นปู่สอนหลานที่กำลังจะประมาทว่า “อย่าประเมินพลังของเบี้ยต่ำเกินไป เบี้ยเดินหน้าได้ทิศทางเดียวก็จริง แต่ถ้าข้ามแม่น้ำไปแล้ว สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป มันสามารถเดินข้างได้”
ประโยคนี้คือการชี้ให้เห็นความสำคัญของคนที่เหมือนเป็นแค่ตัวประกอบ พวกเขาอาจทำตัวไม่มีบทบาท แต่แท้จริงแล้วพวกเขาอาจมีข้อจำกัดบางอย่าง หากก้าวข้ามไปได้แล้ว คนเหล่านั้นจะสามารถพัฒนาตนเองจนมีศักยภาพได้… และสุมาอี้ยังย้ำกับหลายชายว่าตนเองดำรงตัวเป็นเบี้ยมาตลอด ส่วนหนึ่งเพื่อความอยู่รอดในสถานการณ์ที่การเมืองฝุ่นตลบ หากประการสำคัญคือ หากคิดการใหญ่ต้องรู้จักที่จะอยู่ที่ต่ำก่อน
ที่นึกถึงบางช่วงบางตอนของสามก๊ก ฉบับวินทร์ เลียววาริณ เพราะในช่วงสัปดาห์ได้เห็นข้อความในโลกโซเชียล ที่พูดถึงการเป็นคนสำคัญและต้องการประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หลายคนอาจไม่รู้ว่าความสำเร็จที่แท้จริงนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร ได้แต่เห็นความสำเร็จจากห้องของเสียงสะท้อนผ่านโลกโซเชียลมีเดีย จนทำให้หลายหลายคนเปรียบเทียบตนเองว่าเหมือนกับเบี้ยตัวหนึ่งบนกระดาน
ความสำเร็จของคนยุคใหม่ที่วัดกันจากสิ่งที่อวดกันในโซเชียล ไม่ว่าจะเป็นภาพเงินจำนวนมาในตู้เซฟ รถสปอร์ตหรูหรา การใช้ของแบรนด์เนม เป็นค่านิยมมากกว่าเป็นเครื่องวัดความสำเร็จได้ เพราะความสำเร็จที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่แค่มีทรัพย์สินเงินทอง แต่ต้องมีปัญญาติดตัวเพื่อรักษาทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ด้วยเช่นกัน ขณะเดียวกันต้องรู้จักอยู่ในสถานะของคนไม่สำคัญ หรือเป็นเบี้ยตัวหนึ่งบนกระดาน
หากพิจารณาจากสิ่งที่เกิดขึ้นบนกระดานหมากรุกของสุมาอี้กับหลายชาย จะเห็นว่าเมื่อเบี้ยมีจำนวนมากพอ และรู้จักวางแผนอย่างชาญฉลาด หมากตัวที่เล็กที่สุดบนกระดานสามารถพิชิตช้าง ม้า เรือ (หมากรุกจีน) ได้เช่นกัน
มาถึงบรรทัดนี้ ผู้เขียนเองอยากจะบอกทุกท่านที่ได้อ่านคอลัมน์นี้ว่า เราไม่จำเป็นต้องอวดอ้างความสำเร็จของตนเองให้คนอื่นได้รับรู้ เพราะความสำเร็จที่แท้จริงจะส่งเสียงของมันออกมาเอง ดำรงตนให้เป็น “เบี้ยบนกระดาน” จะทำให้คุณรักษาความสำเร็จของตนเองได้นานเท่านาน เพราะไม่ว่าสถานการณ์จะแย่แค่ไหนคุณก็ยังรอด แต่ถ้าอยากครองตัวเป็น “หมากตัวใหญ่” ขอให้รู้ไว้ว่าใคร ๆ ก็อยากจะโค่นคุณลงจากกระดาน
แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ