เมื่อเราถึงวัยมีแว่นสายตา 3 อัน

คุณผู้อ่านเข้าสู่วงการแว่นสายตากันตอนอายุเท่าไรคะ สำหรับผู้เขียนแล้วเข้าสู่วงการนี้ตอนอายุขึ้นเลขสี่ เริ่มจากแว่นสายตาที่ใช้เวลานั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์อย่างเดียว จากนั้นงอกมาอีกหนึ่งอัน เป็นแว่นสายตาสำหรับอ่านหนังสือ และงอกมาอีกหนึ่งอัน เป็นแว่นสายตาที่พกไว้ในกระเป๋าเวลาต้องออกไปนอกบ้าน

ใช่ค่ะ! ปัจจุบันผู้เขียนมีแว่นสายตา 3 อัน มีความชัดต่างกันไป

แว่นอันแรกที่ใช้นั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นั้น จะเป็นแว่นที่มีเลนส์ตัดแสง และมีความชัดในระดับที่พอดีกับการมองเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์ ส่วนแว่นที่ไว้สำหรับอ่านหนังสือ จะเป็นเลนส์ปกติแต่มีความชัดในระดับที่เห็นตัวหนังสือชัดเจน ส่วนแว่นที่ใช้พกติดตัวนั้น นอกจากจะมีเลนส์ตัดแสงแล้ว ความชัดอยู่ในระดับที่ชัดแบบก้มหน้าเงยหน้าก็สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้เป็นอย่างดี

มีเพื่อนเคยแนะนำให้ตัดแว่นเลนส์โปรเกรสซีฟใส่ติดตัวไปเลย ทางเราต้องรีบบอกเพื่อนไปว่าเคยแล้ว เสียเงินไปไม่น้อยแต่ไม่สามารถใช้ได้ ขอแบบนี้แหละสะดวกกว่า ทางเราชินแล้ว และถ้าจะมองอีกมุม การใช้แว่นสามอันก็เหมือนการใช้ชีวิตในทุกวันนี้นะคะ

อย่างแว่นที่ใช้ในการทำงาน ควรจะเป็นแว่นที่ทำให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและโฟกัสอยู่กับงาน เรื่องอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากงานก็แค่ดูให้รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น “แต่ไม่ต้องอิน” เพราะขึ้นชื่อว่าคนแล้ว หนึ่งวันพันเหตุการณ์ จงจำไว้ว่าคนเราเวลาพูดอะไรออกมา หรือเที่ยวโพสต์ความในใจผ่านโซเชียลมีเดีย มันคือการเปิดเผยให้เห็นทัศนคติของพวกเขา ซึ่งเป็นการดีสำหรับเราที่จะได้มองเห็นตัวตนของพวกเขาโดยไม่จำเป็นต้องเอาตัวเราไปข้องเกี่ยว

สำหรับแว่นอันที่สองที่ผู้เขียนมีไว้สำหรับอ่านหนังสือนั้น เป็นแว่นตาที่มีความชัดมากกว่าปกติ เพราะเป็นแว่นที่มีไว้สำหรับหาความสุขให้กับตนเอง และสำหรับผู้เขียน การอ่านหนังสือคือช่วงเวลาคุณภาพ เช่นเดียวกับคุณที่ต้องมีเวลาคุณภาพเป็นของตนเองเช่นกัน และชัดเจนว่าเวลาดังกล่าวนั้นคุณได้ทำในสิ่งที่คุณชื่นชอบ ได้เป็นตัวเองอย่างชัดเจน

ส่วนแว่นอันที่สามที่ผู้เขียนพกไว้ติดตัวนั้น ต้องเรียกว่ามองได้ชัดทุกทิศทาง มีความสะดวกสบายในการใช้งาน เป็นแว่นที่มีความสำคัญมาก เพราะมันทำให้มองเห็นคนแปลกหน้าหรือคนที่เหมือนจะคุ้นเคยได้ชัดเจนที่สุด ยิ่งในวัยที่มีแว่นถึงสามอันแล้ว คนที่เราเคยคิดว่าดี ก็ดันกลายเป็นคนที่เราได้เห็นเขาในด้านที่คิดไม่ถึงมาก่อน คนที่เหมือนจะเป็นเพื่อน กลับกลายเป็นเพื่อนรักเพื่อนร้าย หรือคนที่เราเห็นว่าหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา แต่กลับใจร้ายอย่างที่เราคาดไม่ถึง

เวลามองเห็นพฤติกรรมของผู้คนผ่านแว่นอันที่สาม ทำให้ผู้เขียนนึกถึงคำพูดของ “ชาร์ลี มังเกอร์” เพื่อนซี้ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เคยกล่าวเอาไว้ในหนังสือพิมพ์เดลี เจอร์นัล ว่า “โลกขับเคลื่อนด้วยความอิจฉา ไม่ใช่ด้วยความโลภ”

ในวัยที่ใช้แว่นสามอันในการดำเนินชีวิตนั้น ผู้เขียนเคยบอกคนใกล้ตัวว่า “ค่าสายตาเราอาจเสื่อมตามอายุ แต่สิ่งที่ดีคือ เราจะเห็น ‘คน’ ได้ชัดและเร็วขึ้น” เมื่อเห็นแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกอะไร รับรู้แล้วปล่อยไป เพราะดอกไม้คือดอกไม้ อย่างไรก็หอม ส่วนปฏิกูลคือปฏิกูล ยังไงก็เหม็น เลือกเอาค่ะว่าคุณจะเกลือกกลั้วกับของแบบไหน เพราะทั้งสองสิ่งนี้คือรูปแบบมนุษย์ที่คุณจะได้เจอไปตลอดทั้งชีวิต

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ