สิ่งที่คนอื่นคิดกับสิ่งที่เราเป็น (จงเชื่อมั่นในตัวเอง)

ผู้เขียนมีเพื่อนคนหนึ่ง อาชีพประจำของเธอคือการเป็นคุณแม่และดูแลครอบครัว หารายได้พิเศษด้วยการเป็นครูสอนพิเศษภาษาอังกฤษ เพื่อนของผู้เขียนท่านนี้เรียนคอนแวนต์มาด้วยกัน แต่เพื่อนเรียนเก่งกว่ามาก สอบติดมหาวิทยาลัยในคณะอันดับหนึ่งที่เธอเลือก เมื่อจบปริญญาตรี ก็เดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ หลังจากเรียนจบทำงานได้อีกสองสามปี เพื่อนก็แต่งงานและมีครอบครัว กลายเป็นคุณแม่ฟูลไทม์

การสอนพิเศษภาษาอังกฤษของเพื่อนนั้นใช้พื้นที่ในบ้านของตนเอง สร้างรายได้ไม่น้อยกว่ารายได้ของคนทำงานประจำที่จบระดับปริญญาโท แต่เพื่อนมักเล่าให้ฟังว่า “จะมีเสียงของคนอื่น” มาบอกให้เธอทำงานอื่นที่ได้ใช้ความสามารถที่เรียนมามากกว่านี้ เพื่อนได้แต่รับฟังและนิ่งเฉย เพื่อนบอกว่าการได้สอนพิเศษเด็ก ๆ และการได้ดูแลครอบครัว เป็นความสุขที่เธอพึงใจแล้ว และบอกว่า “ไม่มีใครสนใจเรื่องของคนอื่นนานหรอกแก”

ประโยคดังกล่าวของเพื่อน ทำให้ผู้เขียนนึกถึงศัพท์ทางจิตวิทยา “Spotlight Effect” เป็นคำที่หมายถึงความคิดของคน ที่มักจะคิดว่าตนเองนั้นกำลังถูกจับตาจากคนอื่น หรือเรื่องราวของตนเองเป็นที่ถูกพูดถึง หรือได้รับความสนใจตลอดเวลา แต่แท้จริงแล้วไม่มีใครสนใจเรื่องของคนอื่นมากกว่าเรื่องของตนเอง และไม่มีใครมาเสียเวลานั่งคิดถึงเรื่องของเราอย่างที่เราคิดหรอก

“Spotlight Effect” คือความจริงแท้ที่สุดสำหรับสิ่งที่อยู่ในหัวมนุษย์ ดังนั้น อย่าไปให้ความสำคัญกับความคิดของคนอื่นมากนักว่าเขาจะคิดกับเราอย่างไร หรือกลัวว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบเรา แต่จงสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง แล้วลงมือทำในสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุขจะดีกว่า เหมือนกับที่เพื่อนของผู้เขียนรายนี้ ทุกวันนี้มีความสุขมากที่ได้ดูแลครอบครัวและสอนพิเศษ จนทำให้เด็ก ๆ ที่ไม่ชอบภาษาอังกฤษ กลายเป็นคนที่เรียนภาษาอังกฤษจนทำผลสอบเป็นที่น่าพอใจของผู้ปกครอง

เพื่อนผู้เขียนเคยเล่าให้ฟังว่า เอาเข้าจริงแล้วการเรียนภาษาอังกฤษหรือภาษาที่สองของเด็กไทยนั้น บางครั้งปัญหาอยู่ที่ความมั่นใจของเด็กที่จะใช้ภาษา พวกเขากลัวที่ออกเสียง กลัวที่จะพูดเป็นประโยคยาว เพราะกลัวว่าจะพูดผิดแล้วคุณครูจะตำหนิหรือเพื่อนจะล้อ บางคนออกเสียงได้สำเนียงที่ดี แต่ปรากฏว่า ถูกเพื่อนล้อว่า “ดัดจริต” ทำให้เขาไม่กล้าที่จะพูดอีก เพื่อนของผู้เขียนเล่าว่า เด็กในลักษณะนี้ต้องปรับความเข้าใจ และสร้างความมั่นใจให้กับเด็กใหม่

กรณีตัวอย่างของเด็กรายหนึ่งที่เพื่อนเล่าให้ฟัง ว่าผู้ปกครองเด็กพามาหาเพราะรู้สึกว่าลูกเรียนไม่ทันเพื่อน โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เพื่อนบอกว่าตอนที่เห็นเด็กครั้งแรก เขาจะพูดเสียงเบา ๆ และก้มหน้าแทบจะตลอดเวลา แต่สุดท้ายเพื่อนก็รับเด็กรายดังกล่าวมาเรียนพร้อมกับความแปลกใจตั้งแต่วันแรก เมื่อรู้ว่าพื้นฐานภาษาอังกฤษของน้องแน่นมาก ให้เขียนคำศัพท์พร้อมกับคำแปล ทำได้หมด ให้ออกเสียง ก็ออกเสียงได้ถูกต้อง แต่…น้องไม่มีความมั่นใจเลย

เมื่อให้เขียนคำศัพท์พร้อมคำแปล เด็กน้อยจะจด ๆ จ้อง ๆ และพูดเบา ๆ ว่าไม่แน่ใจ ซึ่งเพื่อนของผู้เขียนต้องให้ความมั่นใจว่าเธอตอบปากเปล่าได้ถูกต้องแล้วแค่เขียนลงไปเอง เด็กน้อยจึงทำแบบทดสอบได้จนจบ เพื่อนบอกกับผู้เขียนว่าการสอนเด็กรายนี้แทบไม่ต้องสอนอะไรใหม่ เพราะเขามีอยู่ในหัวหมดแล้ว แต่สิ่งที่ต้องสอนคือ การสร้างความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองที่คนอื่นมองไม่เห็น หรือไม่พยายามจะตั้งใจมอง

จากเรื่องเล่าทั้งหมดในคอลัมน์วันนี้ คุณผู้อ่านจะเห็นว่า การทำชีวิตให้มีความสุขนั้นไม่ยาก เพียงแค่ “อย่าให้เสียงของคนอื่นมาทำให้เราหมดศรัทธาในตนเอง” และ “จงเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองลงมือทำ”

ในโลกทุกวันนี้จะมีเสียงที่อยู่ในหัวเราเต็มไปหมด เป็นเสียงของความคิดเห็นประเภท “มีปากก็สักแต่พูดไปเรื่อย” ขอให้ปิดเสียงดังกล่าว และอย่าไปใส่ใจ หันกลับมารักตัวเอง ดูแลคนที่รักเรา และทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด เพียงเท่านี้คุณก็จะได้ลิ้มรสดอกผลที่ออกมาจากความตั้งใจของคนในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอนค่ะ

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า