กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน มีซีรีส์ไทยเรื่องใหม่จาก Netflix ลงสตรีมเป็นวันแรก โดยปล่อยรวดเดียวครบ 8 ตอน ส่วนตัวเคยเห็นโปรโมตซีรีส์เรื่องนี้ตามเฟซบุ๊กมาบ้างแล้ว และก็รู้สึกว่าเป้นซีรีส์ไทยอีกเรื่องที่ปล่อยตัวอย่างออกมาได้น่าสนใจดี คือมันมีความลึกลับ มีความซับซ้อน มีความหลอนชวนขหหัวลุกทั้งที่ดู ๆ แล้วไม่น่าจะใช่ซีรีส์ผี แถมยังมีคำถามที่ท้าทายต่อมศีลธรรมกับคนดูอีกด้วยว่า “คุณเคยอยากลบใครให้หายไปจากชีวิตไหม?” ด้วย เพราะ “ทุกคนมีความลับ ที่อยากลบ ลบมันให้หมด!”
ด้วยความที่ทุกวันนี้ไม่ค่อยได้สนใจซีรีส์หรือละครไทยเท่าไรนัก ส่วนตัวรู้สึกว่าอคติจากที่เคยได้ดูมามันทำให้ความรู้สึกน่าสนใจลดลงไปเยอะ บวกกับดราม่าต่าง ๆ ที่คนพูดถึงซีรีส์ ละคร หรือแม้แต่ภาพยนตร์ไทยบางเรื่อง ก็ค่อนข้างที่จะเห็นด้วย เลยทำให้เราตั้งธงอคติมากไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปิดใจนะ มีหลายเรื่องทีเดียวที่เปิดใจดูแล้วรู้สึกว่ามันดีกว่าที่คาด แล้วก็ซีรีส์ไทยก็ได้ลงคอลัมน์นี้ค่อนข้างบ่อยด้วย
DELETE เป็นซีรีส์แนวทริลเลอร์ ลึกลับ ระทึกขวัญ ปนดราม่าจาก Netflix ที่จับมือกับ GDH เรื่องราวของมือถือปริศนาเครื่องหนึ่งที่สามารถลบคนให้หายไปอย่างไร้ร่องรอยเพียงแค่กดถ่ายภาพของคนคนนั้น ซึ่งจะเหลือเพียงภาพที่ถูกบันทึกลงในแกลเลอรีของโทรศัพท์เท่านั้น แล้วประเด็นก็คือ มือถือเครื่องนี้ดันตกไปอยู่ในมือของคนกลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์ซับซ้อนต่อกัน พวกเขาจึงมีแรงจูงใจมากพอที่ใช้มือถือเครื่องนี้ไล่ลบกันและกันให้หายไป ด้วยเหตุผลส่วนตัวของแต่ละคนที่พยายามจะเข้าข้างตัวเองว่าทำไปด้วยความจำเป็น เกิดเป็นเรื่องราวสุดระทึกขวัญที่ชวนให้คนดูอึดอัดไปเกือบตลอดเรื่อง แถมด้วยความปวดตา เพราะภาพมืดมากไปหน่อย แต่ชัตเตอร์มือถือก็เล่นซะแสบตา 555
เท่าที่อ่านรีวิวมา เห็นว่ามีทิศทางไปในทางบวกซะส่วนใหญ่ เพราะคนพูดไปในทางที่ดีเราถึงได้ลองเปิดดู ผลคือตั้งใจจะดูแค่ตอนเดียวก่อนเพราะตอนนั้นมันดึกแล้ว เช้าต้องตื่นเช้าไปทำงาน ที่ไหนได้ลากยาวไป 3 ตอน ต้องข่มตัวเองให้ไม่เปิดต่อไม่งั้นคงไม่ได้นอน คือมันมีความสนุกและน่าติดตามดี ส่วนตัวไม่เห็นว่ามันเนิบไปหรือยืดยาดอะไรแบบที่คนอื่นเขารีวิว คือรู้สึกได้ว่ามันมีจังหวะในการเล่าที่ลงตัวของมันอยู่แล้ว และสำหรับบางรีวิว มีบอกว่าหลาย ๆ อย่างในเรื่องอาจดูไม่สมเหตุสมผล แต่เท่าที่ดูก็ไม่รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน มันอาจไม่สมเหตุสมผลบ้าง ทว่าก็เข้าใจได้ เพราะมันคือการสะท้อนพฤติกรรมของมนุษย์ไง!
ส่วนตัว เคยพยายามบอกกับตัวเองเสมอว่า อย่าถามหา “ความสมเหตุสมผลในการกระทำและสิ่งที่มนุษย์คิด” เพราะจิตใจคนเราไม่เหมือนกัน คนเราคิดไม่เหมือนกัน ที่สำคัญ จิตใจคนเราน่ะมันลึกเกินกว่าจะหยั่งได้ถึง โลกนี้มีทั้งคนปกติและคนบ้า ที่เราไม่อาจไปตัดสินได้ว่าสิ่งที่มนุษย์คนนั้นทำมันไม่สมเหตุสมผล
ต้องลบแม่งให้หมด ต้องตามไปลบแม่งให้หมด
ด้วยความที่ซีรีส์เรื่องนี้ถือเป็นซีรีส์ปล่อยรวดเดียวที่มีอะไรให้ได้ตามลุ้นอยู่พอสมควร แบบว่าใครเผลอไปเปิดดูตอนที่ 1 เข้า รู้ตัวอีกทีก็คือจบเรื่องได้เลย ก็จะพยายามเล่าเรื่องในขอบเขตที่เรื่องย่อมีโปรยมาแล้วก่อนหน้านี้ละกัน จะได้ไม่สปอยล์เรื่อง เรื่องราวของมือถือปริศนาเครื่องหนึ่งที่มีฟังก์ชันพิเศษ คือสามารถกดถ่ายภาพคนอื่นแล้วลบคนคนนั้นให้หายไปอย่างไร้ร่องรอยได้ โดยสิ่งที่เหลืออยู่จะมีเพียงภาพที่ถูกบันทึกลงในแกลเลอรีเท่านั้น ไป ๆ มา ๆ มือถือเครื่องนี้ดันไปตกอยู่ในมือของคนกลุ่มหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ซับซ้อน ต่างคนต่างซ่อนความลับบางอย่างไว้ ความลับที่ไม่ควรมีใครได้รู้ มันจึงนำไปสู่จุดที่พวกเขาเริ่มสร้างความชอบธรรมในการตัดสินใจว่าใครควรจะหายไป!
เพราะทุกคนมีความลับ ความลับคือเรื่องที่ต้องปกปิด คือสิ่งที่ไม่ควรมีใครได้รู้อีก แต่ในเมื่อมีคนอื่นรู้เข้า ก็ต้อง “ลบทิ้ง” เพื่อปิดปากคนเหล่านั้นซะ ซีรีส์เรื่องนี้เลือกใช้กลุ่มคนที่ “แหลกสลายในความสัมพันธ์” มาเป็นตัวเดินเรื่อง ดังนั้น มือถือเครื่องนี้เลยกลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ถูกใช้เป็น “อาวุธ” ที่ทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องตกอยู่ในสถานการณ์ฉิบหายกันเร็วขึ้นกว่าเดิม มันคือคอนเซปต์ที่ท้าทายด้านมืดของจิตใจมนุษย์ว่าถ้าเรามีมือถือลบคนได้อยู่ในมือ เราจะลั่นชัตเตอร์เพื่อลบคนที่เราอยากลบให้หายไปไหม ในเมื่อเราเป็นคนตัดสินได้ แต่เรามีสิทธิ์อันชอบธรรมหรือไม่
การทำให้คนที่เราอยากลบทิ้งออกจากชีวิตหายไปอย่างไร้ร่องรอยมันไม่ต่างอะไรจากการฆ่าคนหรอก ตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องก็เคยพูดไว้ เพราะมนุษย์เรามันมีความเทา มีด้านมืดที่หลบซ่อนอยู่ในจุดเล็ก ๆ มืด ๆ ลึก ๆ และสัจธรรมก็คือมนุษย์รักตัวเอง มีสัญชาติญาณในการปกป้องตัวเองเสมอไม่ว่าจะเป็นทางที่ดีหรือทางที่ไม่ดี ยิ่งถ้าจนตรอกมาก ๆ เข้า ด้านมืดในตัวมนุษย์จะปรากฏออกมา และทำทุกอย่างได้เพื่อปกปิดสิ่งที่ตัวเองทำผิด เพื่อปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกลงโทษ ไม่มีใครต้องการพัง มันจึงนำไปสู่การไล่ล่าลบทุกคนที่รู้ว่าตัวเองทำผิด ลบแม่_ให้หมดไม่สนลูกใคร
จะว่าไปซีรีส์เรื่องนี้ก็ดูเป็นซีรีส์ที่ท้าทายต่อมศีลธรรมของคนเราดีเหมือนกันนะ มันทำให้เราได้ลองตั้งคำถามเล่น ๆ กับตัวเองว่าถ้าโลกนี้มันมีมือถือที่ลบคนทั้งคนทิ้งได้อย่างไร้ร่องรอยอยู่จริง ๆ โลกจะวุ่นวายแค่ไหน เพราะมันจะต้องมีแน่ ๆ ล่ะ คนที่จะใช้มือถือนี้วิ่งไล่ตามถ่ายภาพคนที่ตัวเองเกลียด เพราะคาดหวังให้คนพวกนั้น “หายไป” แล้วตัวเราล่ะ เราจะกลายเป็นหนึ่งนั้นด้วยไหม เราเคยไม่พอใจใครจนถึงขั้นที่ไม่อยากเห็นหน้าคนคนนั้นอีกเลยหรือเปล่า ที่เราอาจจะเคยพูดกันเล่น ๆ ว่า “ไม่ชอบอินี่เลย เมื่อไรมันจะหาย ๆ ไปจากโลกนี้สักที” เราจะกลายเป็นคนที่อ้างสิทธิ์ในการตัดสินใครไหมว่า “ใครควรจะอยู่? และใครควรจะหายไป?”
จริง ๆ อีกสัญญะที่ชอบในเรื่องนี้ คือ “มือถือ” นะ ค่อนข้างประทับใจกับคำโปรยที่ว่าทุกวันนี้คนดูจะกลัวมือถือมากกว่าปืนด้วยซ้ำ ชีวิตจริงเรามันอาจจะไม่เหนือจริงแบบในซีรีส์ที่เอามือถือวิ่งไล่คนที่อยากลบทิ้ง แต่มือถือเครื่องเดียวมันก็ทำลายชีวิตคนได้นักต่อนักเหมือนกัน ไม่ว่าจะกล้องมือถือ สิ่งสำคัญที่เราใช้เก็บหลักฐานต่าง ๆ มากมายในชีวิตประจำวัน ในยุคที่คนเรามีกล้องติดตัวกันแทบทุกคน อย่าได้พลาด มีกล้องที่อาจจะบันทึกภาพเราไว้ได้จากทุกที่ และเราอาจกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ในช่วงข้ามคืน หรือแป้นพิมพ์โทรศัพท์ สารพัดตัวอักษร คำ ประโยค ย่อหน้า หรือเรื่องเล่า 1 เรื่อง มันก็สามารถทำลายชีวิตคนอื่นได้เพียงเพราะสิ่งที่เราพิมพ์โดยไม่คิดและไม่ตรวจสอบความถูกต้อง
จะเห็นว่าซีรีส์เรื่องนี้ทั้งเรื่อง ทุกตัวละครจะหมกมุ่นอยู่กับการตามหาโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวที่เปลี่ยนมือไปมา และถูกใช้ลบคนไปแล้วมากมาย ถ้าดูอย่างโฟกัสตลอด จะเข้าใจได้เลยว่าจุดเริ่มต้นทั้งหมดจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในช่วงที่เธอมีมือถือเครื่องนี้ไว้ในครอบครอง เธอไล่ลบคนอื่น ๆ เพราะอะไร แต่ในที่สุดเธอมันดันกลายเป็นเรื่องใหญ่ จนเธอรู้สึกผิดจึงพยายามจะลบตัวเองทิ้งไปด้วย และไม่นาน มันได้กลายเป็นเรื่องราวน่าเศร้าที่สะท้อนให้เห็นด้านมืดในจิตใจมนุษย์อย่างแท้จริง ว่าเพียงแค่ต้องการจะปกปิดความชั่วร้ายของตัวเอง บางทีคนเราสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อกำจัดทุกคนที่เกี่ยวข้อง ถึงเรื่องในช่วงแรกจะเดาทางยาก แต่แก่นสารที่เรื่องต้องการนำเสนอนั้นเข้าใจง่ายมาก
เราไม่ได้รักแกแล้วอะ
มีเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งที่เคยพยายามคิดวนไปวนมาจากมุมมองของทั้งสองมุม แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้เลย คือทำไมคนบางคนถึงไม่กล้าที่จะบอกกับคนรักของตัวเองแบบใจ ๆ ไปตรง ๆ ว่า “ฉันไม่รักเธอแล้ว เราเลิกกันเถอะ” แต่ดันกล้าที่จะนอกใจในขณะที่ยังอยู่ในความสัมพันธ์ นี่พูดจริง ๆ นะว่าสงสัยมาตลอดว่าทำไมเขาถึงไม่พยายามจะจบกับคนเก่าก่อน แล้วจากนั้นก็เปลี่ยนสถานะเป็นคนโสดที่ลั้นลาได้ตามใจชอบ คิดยังไงมันก็ดูคล่องตัวกว่า ตามความคิดส่วนตัว เชื่อว่าถ้าบอกกับอีกฝ่ายดี ๆ ว่าเหตุผลที่คนสองคนไปกันต่อไม่ได้เป็นเพราะว่าฉันไม่ได้รักเธออีกต่อไปแล้ว มันก็เท่ากับปิดประตูใส่หน้าคนที่พยายามจะรั้ง ท้ายที่สุดมันไปกันต่อไม่ได้อยู่ดีถ้าไม่มีความรักให้กัน
จุดเริ่มเรื่องของซีรีส์เรื่องนี้ เล่าถึงชายหญิงสองคนที่เป็นชู้รักกัน คนผู้หญิงแต่งงานแล้ว ส่วนคนผู้ชายก็มีแฟนที่รักเขามาก มันมีจุดเปลี่ยนบางอย่างที่ทำให้สองคนนี้นอกใจคนรักของตัวเองแล้วมาแอบแซ่บกันลับหลังคนรักของตัวเอง ซึ่งคนผู้ชายนั้นพอโดนแฟนจับได้ เขาก็พยายามขอเลิก ทั้งที่แฟนของเขายื่นขอเสนอมาว่าแค่ให้ไปจบกับผู้หญิงคนนั้นซะ ส่วนเธอจะลืมเรื่องที่โดนนอกใจไป แล้วเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่เขาไม่ลังเลเรื่องนี้อีกต่อไปเพราะเขารักผู้หญิงคนใหม่มากกว่า เขาจึงบอกกับแฟนตัวเองว่า “เราไม่ได้รักแกแล้วอะ” ตลกดีนะ กล้าที่จะนอกใจ แต่ไม่กล้าบอกเลิกตั้งแต่หมดใจ
การบอกเลิกเพราะหมดรัก มันแตกต่างจากการบอกเลิกเพราะเราไม่พอใจในพฤติกรรมบางอย่างของคนรักชนิดที่เกินจะทนนะ เรื่องแบบนั้นมันยังพอบอกให้แก้ไขหรือปรับปรุงตัวได้ ถ้าคนเรายังรักกันอยู่ มันจะพยายามปรับปรุงตัวเองคนละนิดคนละหน่อยเพื่อมาเจอกันตรงกลางให้ได้ แบบว่าไม่สูญเสียความเป็นตัวเอง ไม่ต้องพยายามเปลี่ยนตัวเองเพื่อใครอีกคนมากจนเกินไป แต่พยายามปรับให้มันเข้ากัน เพื่อไม่ให้ความเป็นตัวเองของเรามันทำร้ายคนที่เรารัก ถ้าสองฝ่ายคุยกันแล้วพยายามปรับตัวเข้าหากันได้ดี มันก็ยังพอจะไปกันต่อได้ยาว ๆ จบแบบแฮปปี้ได้อยู่
แต่ถ้าเมื่อไรที่คู่รักมีเหตุผลที่ว่าไม่ได้รักอีกฝ่ายแล้วเนี่ย มันไม่ใช่ปัญหาแบบที่จะแก้ได้ด้วยการเปิดใจคุยกันอะ คือมันจะแก้ยังไงก่อน ไม่รักมันก็คือไม่รัก เคยรักก็คือเคยรัก แต่วันนี้มันไม่รักแล้วไง ปัญหาของการหมดรักแล้วมันไม่ได้แค่แก้ปัญหาด้วยการพยายามจะกลับไปรักเหมือนเดิม มันทำไม่ได้หรอก ในเมื่อไม่ได้รู้สึกพึงพอใจในตัวอีกฝ่ายอีกแล้ว (ต่อให้สิ่งนั้นจะเคยเป็นสิ่งที่รับได้ในช่วงโปรโมชัน) ไม่ว่าอีกคนจะปรับปรุงแก้ไขให้ตัวเองดีขึ้นแค่ไหน ก็เป็นได้แค่คนที่ดีขึ้น ไม่ใช่คนที่รัก! ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่พฤติกรรม มันอยู่ที่ใจที่ไม่รู้สึกหรือรู้สึกไม่เหมือนเดิม
ฉะนั้น ถ้าเหตุผลของการบอกเลิกคือการหมดรัก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพยายามรั้งไว้แค่ไหนก็ตาม ท้ายที่สุดเขาจะรู้เองว่าไม่มีประโยชน์ที่จะคบกันต่อไป แล้วเขาก็จะเข้าใจสถานการณ์ได้ว่าต่อให้ตัวเขายังรักอยู่ มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาจะพยายามเข้าใจและปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระในที่สุด แต่หลายคนกลับเลือกที่จะข้ามขั้นตอนปกตินี้ แล้วใช้วิธีผิด ๆ อย่างการนอกใจ ไม่รักแต่ไม่บอกเลิก แล้วก็เสแสร้งแสดงต่อกันด้วยการโกหกและหลอกลวง ไม่รักไม่พอ ยังจะทำร้ายกันให้เจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่ากว่าเดิม ไหนจะความรู้สึกที่ถูกทำให้เป็นคนโง่อีก
ถ้าไม่ได้รู้สึกรักใครอีกต่อไป บอกเหตุผลว่าหมดรักแล้วบอกเลิก มันยังเข้าใจได้มากกว่าการนอกใจไปแอบแซ่บกับคนอื่นซะอีกนะ แอบแซ่บน่ะ แรก ๆ มันอาจจะท้าทายดี แต่ตอนต่อไปเรื่อย ๆ มันไม่สนุกหรอกที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยคำโกหก การหลบ ๆ ซ่อน ๆ หรือความรู้สึกหวาดระแวงว่าความจะแตกเมื่อไร จะถูกจับได้ไหม อย่าขี้ขลาดรอวันที่ถูกจับได้แล้วค่อยขอเลิก รวบรวมความกล้าบอกเลิกไปตั้งแต่วันที่รู้ตัวหมดรักนั่นแหละ คนบางคนเขาสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ว่าเขาต้องปล่อยและไม่มีประโยชน์ที่จะดันทุรังให้ความรักครั้งนี้ได้ไปต่อ ในเมื่อแฟนใจกล้ามาขอเลิกด้วยเหตุผลว่า “หมดรัก”
ยุคนี้มันเป็นยุคที่คนพยายามจะแสดงออกด้านที่สมบูรณ์แบบ ด้านที่ “ฉันมีความสุขนะ” จนมันไม่มีพื้นที่ให้กับความไม่สมบูรณ์แบบ ความน่าอาย หรือว่าความทุกข์
นี่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ค่อนข้างเห็นด้วยกับสิ่งที่ซีรีส์เรื่องนี้พยายามสื่อสารมาทั้งเรื่อง ไม่ว่าใครก็ตามไม่ได้อยากประจานด้านที่ตัวเองรู้สึกว่ามันเป็นด้านลบ ๆ ของตัวเองหรอก หรือด้านที่ต้องลำบากอย่างมากมาย หลายคนก็ไม่ได้อยากให้คนอื่นได้เห็น เราล้วนแต่พยายามกันอย่างมากที่จะนำเสนอชีวิดดี๊ดีของตัวเองให้คนอื่นได้เห็น อยากอวดนั่นอวดนี่ที่ตัวเองมีดีจะให้อวด อยากให้คนอื่น ๆ รู้สึกอิจฉาที่เรามีในสิ่งที่คนอื่นทำได้แค่ฝันถึง ด้านที่ฉันมีความสุขมาก ๆ ในชีวิตนี้ ในขณะเดียวกันก็พยายามปิดบังเรื่องไม่ดีของตัวเอง เรื่องที่ใจจริงอยาก “ลบ” จะได้ไม่มีใครรู้อีกเลย
บางทีคนเราก็พยายามจะโฟกัสกับความสำเร็จและสุขมากเกินไป ใช่แหละว่าใคร ๆ ก็อยากที่จะประสบความสำเร็จ อยากที่จะมีความสุข อยากที่จะสมบูรณ์แบบในทุกอย่าง ทั้งที่ความจริงคนเรามันมีเรื่องผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้เสมอ เพราะสัจธรรมของชีวิตนั้นมันไม่ได้มีแค่ความสุขเพียงอย่างเดียว บางวันมันก็เป็นทุกข์ได้ มีเรื่องน่าอาย เรื่องเสียใจเกิดขึ้นได้เสมอ มีความไม่สมบูรณ์แบบเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องธรรมชาติ ซึ่งมันทำให้คนเหล่านั้นไม่กล้าที่จะแสดงออก ไม่กล้าที่จะบอกใคร ไม่กล้าพูดออกมา เพราะกลัวว่าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ในสายตาคนอื่น แล้วตัวเองต้องแบกรับมันไว้คนเดียว กดทับทุกความรู้สึกด้านลบให้จมลงไปเรื่อย ๆ ทั้งที่มันไม่เคยหายไป
ถ้าเรื่องราวของความทุกข์ใจมันอัดอั้น ระบายมันออกมาบ้างก็ได้ถ้ามันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ต้องอยากที่จะดูเป็นคนสมบูรณ์แบบหรือคนที่มีความสุขตลอดเวลา หรืออาจจะยอมเป็นคนที่จะไม่สมบูรณ์แบบบ้างก็ได้ ปล่อยและให้อภัยตัวเองต่อเรื่องผิดพลาดบ้างก็ดี นี่แหละมันถึงจะเหมือนมนุษย์มนาทั่วไปจริง ๆ การยอมรับความจริงว่าเราก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่ผิดได้ พลาดได้ ล้มเหลวได้ และร้องให้เป็น มันไม่ได้ด้อยค่าในตัวเราลงนักหรอก มันก็แค่บทเรียนและประสบการณ์หนึ่งในชีวิต ที่ถ้าก้าวข้ามผ่านไปได้ วันจะกลายเป็นเรื่องตลกในวงเหล้าได้ในสักวัน
ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ซีรีส์เรื่องนี้นำเสนอ มันไม่ใชแค่มุมที่ทุกคนพยายามแสดงออกให้เห็นถึงด้านที่สมบูรณ์แบบของตัวเองด้วยการซ่อนและปิดบังความทุกข์ ความเศร้าของตัวเอง แต่มันเป็นมุมของคนที่พยายามจะซ่อนและปิดบังความผิดเพื่อให้ภาพความสมบูรณ์แบบยังอยู่ ความพยายามแย่งมือถือเครื่องเดียวที่สามารถลบทุกความผิด ลบทุกความแค้น ลบทุกความรัก ลบทุกความทรงจำ ลบทุกความเกลียดชัง ลบทุกการหลอกลวง ลบใครต่อใครทิ่ง เพราะพวกเขากุมความลับของตัวเอง เพื่อเอาแต่ความสุขของตัวเอง แบบนี้มันก็ไม่ถูกเท่าไรนัก ซึ่งซีรีส์นำเสนอได้ค่อนข้างดี และเฉลยปมกระจ่างหมดแล้ว ถึงมันจะจบลงแบบปลายเปิด ก็ไม่แน่ใจว่าเปิดทางให้ภาคต่อหรือเปล่านะ ถ้ากระแสดีคงทำแหละ
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ซีรีส์เรื่อง DELETE ไม่ได้เฉลยหรือพูดถึงเลยสักนิด ก็คือที่มาที่ไปของโทรศัพท์ลบคนว่ามันมาจากไหน เชื่อว่าหลายคนก็ยังแอบสงสัยอยู่แหละ แต่มันก็เป็นในเชิงว่ารู้ก็ได้ไม่รู้ก็ได้ เพราะเขาอาจวางแผนซีซัน 2 แล้วรอเฉลยตอนนั้นหรือเปล่า หรือจริง ๆ นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักที่เขาอยากสื่อสาร แต่ถึงอย่างนั้น ใจความสำคัญมันคงอยู่ที่จุดเริ่มต้นของคนที่สร้างมือถือลบคนขึ้นมาว่ามีจุดประสงค์อะไรมากกว่า ที่มาที่ไปของมัน คือความคาดหวังว่าเราจะมีสิทธิ์จะลบให้คนอื่น ๆ หายไปจากโลกนี้จริง ๆ น่ะเหรอ⛔