คล็อปป์ ผ่าทางตันตลาดนักเตะ

วันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ผ่านพ้นไปโดยแฟนบอลเองคงมีความสุขกันอย่างเต็มที่ เพราะได้หยุดงาน แถมยังสามารถติดตามเกมลูกหนังจากต่างประเทศไปพร้อม ๆ กับการท่องเที่ยวเล่นน้ำ เพื่อเป็นการชาร์จแบตฯ ก่อนกลับสู่ภารกิจในชีวิตประจำวันของแต่ละคน

สำหรับข่าวคราวในวงการฟุตบอลช่วงนี้มีเรื่องราวของการเล็งซื้อนักเตะตัวเก่งเข้าทีมตั้งแต่ยังไม่ใกล้จบฤดูกาลกันหลายรายมาก เนื้อหอมที่สุดคงเป็น จู๊ด เบลลิ่งแฮม กองกลางดอร์ทมุนด์ ซึ่งหลายคนสงสัยว่าซัมเมอร์นี้จะย้ายไปอยู่ทีมใด แต่การที่ลิเวอร์พูล ออกมายกธงขาวไม่ยอมสู้ค่าตัวของเขากลายเป็นเรื่องสร้างความไม่พอใจให้กับแฟนบอลและอดีตนักเตะเก่าหลายคนของสโมสร

ที่จริงก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรหรอกครับ เพราะ FSG กลุ่มทุนเจ้าของสโมสรประกาศออกมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ไม่ได้มีงบประมาณสำหรับซื้อนักเตะแบบบ้าระห่ำเหมือนทีมใหญ่อื่น ๆ และถ้าจู๊ดคนเดียวจะมีตัวเลขแตะระดับ 100 ล้านปอนด์ขึ้นไป คงต้องใส่เกียร์ถอยหลังสถานเดียวเท่านั้น เพราะลิเวอร์พูลน่าจะต้องซื้อหลายคนในซัมเมอร์นี้ คล็อปป์ เองก็ออกมายอมรับว่าสโมสรไม่มีเงินพอ 

ผมมองว่าในรายของ จู๊ด นั้นสโมสรขยับช้าเกินไป พอหลังฟุตบอลโลกนักเตะเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังจนค่าตัวและค่าเหนื่อยถูกอัปสูงจนเกินเอื้อมไป ก็ต้องทำใจยอมรับในจุดนี้แล้วไปมองหาคนอื่น

สิ่งที่น่าเป็นห่วงกว่าคือการที่ฝ่ายบริหารยังไม่สามารถจะหาคนที่เหมาะสมมาทำหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการซื้อขายในตำแหน่ง Director of Football หรือผู้อำนวยการฟุตบอลแทนที่ จูเลี่ยน วอร์ด ซึ่งมาทำหน้าที่แทน ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ได้เพียงปีเดียวและกำลังจะอำลาตำแหน่งไปไม่ได้ แล้วคนที่กำหนดนโยบายหรือตัดสินใจตรงนี้มันจะมีประสิทธิภาพจริงแค่ไหนอย่างไร?

ขนาดที่ผ่านมาหากเราลองมองย้อนกลับไปดูสถิติการซื้อตัวนักเตะของ ลิเวอร์พูล ช่วงหลังนั้น มิอาจจะพูดได้ว่าประสบความสำเร็จเลยในช่วง 4 ปี หลังจากที่พวกเขาได้ครองแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2019 หานักเตะใหม่ที่สามารถยกระดับทีมได้น้อยรายจริง ๆ ลองไปไล่เรียงนักเตะที่พวกเขาซื้อเข้ามากันครับ

ซัมเมอร์ก่อนเปิดฤดูกาล 2019-20 สโมสรดึงตัว เซ็ปป์ ฟาน เดนเบิร์ก (1.3 ล้านปอนด์), ฮาร์วี่ย์ เอลเลียต (3.8 ล้านปอนด์), เอเดรียน (ฟรี), แอนดี้ โลเนอร์แกน (ฟรี), ทาคูมิ มินามิโนะ (7.25 ล้านปอนด์) เข้ามา

ฤดูกาล 2020-21 เป็น คอสตาส ซิมิกาส (11.5 ล้านปอนด์), ติอาโก้ อัลคันทาร่า (20 ล้านปอนด์), ดิโอโก้ โชต้า (45ล้านปอนด์), เบน เดวิส (1.6 ล้านปอนด์), เคด กอร์ดอน (1 ล้านปอนด์)

ฤดูกาล 2021-22 ดีหน่อยได้ อิบราฮิม่า โคนาเต้ (36 ล้านปอนด์), หลุยส์ ดิอ๊าซ (37.5 ล้านปอนด์), เบน โด๊ค (6 แสนปอนด์)

ล่าสุด 2022-23 ดาร์วิน นูนเยซ (68 ล้านปอนด์), คัลวิน แรมซี่ย์ (4 ล้านปอนด์), ฟาบิโอ คาวัลโญ่ (5 ล้านปอนด์), โคดี้ กัคโป (37 ล้านปอนด์), อาร์ตู เมโล่ (ยืมตัว)

ทั้งหมดทั้งมวลมีแข้งใหม่ที่พอจะเรียกว่ายกระดับทีมได้เพียงคนเดียวกระมังครับ นั่นคือ หลุยส์ ดิอ๊าซ ส่วน โคนาเต้, นูนเยซ และ กัคโป พอมีลุ้น แต่คงต้องใช้เวลาปรับจูนอีกสักนิด

ถึงซัมเมอร์นี้กำลังจะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่สุด เพราะสโมสรต้องการกลับสู่ความสำเร็จ ขณะเดียวกันกำลังมีผู้เล่นหมดสัญญาหรือเล่นได้ไม่คุ้มค่าจ้าง ต้องถูกเปลี่ยนแปลงด้วยการปล่อยออกจากทีมอย่างมากมายเป็นประวัติการณ์ รวมกันแล้วอาจจะ 6-7 คน เป็นอย่างน้อย

ส่วนการซื้อเข้ามาใหม่นั้น ถ้ามีงบประมาณแค่นี้ ก็คงต้องใช้นโยบายเฟ้นหาเพชรในตมลักษณะอย่าง ไรอัน กราเฟนแบร์ก ที่ต้องการแจ้งเกิดใหม่หลังล้มเหลวกับบาเยิร์น มิวนิค คนนี้ “หงส์แดง” ดูท่าเอาจริงเอาจังตามข่าวที่ออกมาล่าสุดค่าตัวประมาณ 20 ล้านปอนด์ 

นอกจากนั้นแล้วอาจไปเล็งนักเตะใกล้หมดสัญญาอย่าง อาเดรียง ราบิโอต์ หรือเมสัน เมาท์ เต็มที่อาจจะได้เป็นดาวจากทีมเล็ก ๆ อย่าง อเล็กซิส แม็คอลิสเตอร์ ของ ไบรท์ตัน 

อย่างไรก็ตาม ฟุตบอลมันไม่ได้มีสูตรสำเร็จอะไรตายตัวหรอกครับว่า มีเงินทุ่มซื้อนักเตะแล้วจะได้รับชัยชนะไปตลอด คิดดูให้ดี ๆ ในอดีตผู้จัดการทีมชาวเยอรมันและทีมงาน เคยหาซื้อนักเตะมาพัฒนาในลักษณะอย่าง จินี่ ไวนัลดุม, ซาดิโอ มาเน่, โมฮัมเหม็ด ซาลาห์, ฟาบินโญ่, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน จนลือลั่นมาแล้ว

รอดูกันครับว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะพา “หงส์แดง” ผ่าทางตันในช่วงซัมเมอร์ไปได้อย่างไรในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ท่ามกลางข้อจำกัดมากมายแบบนี้!?!.