คำถามสำคัญสำหรับผู้ใกล้เกษียณหรือเกษียณแล้วที่มักจะถามอยู่เสมอ คือ จะบริหารเงินหลังเกษียณอย่างไรให้มีพอกิน พอใช้ไปตลอดชีวิต เพราะในการเตรียมเงินเพื่อการเกษียณอายุ จะมีปัจจัยสำคัญที่เราไม่สามารถควบคุมได้ นั่นคือ อายุขัยของเรานั่นเอง เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเราจะต้องใช้ชีวิตหลังเกษียณไปอีกกี่ปีกันแน่ หากไม่มีการบริหารเงินที่ดี ก็อาจทำให้เราพบเหตุการณ์ที่ ‘เงินหมดก่อนตาย’ ก็เป็นได้
เรื่องสำคัญในการบริหารเงินหลังเกษียณ คือ จำนวนเงินออมที่เพียงพอสำหรับใช้จ่ายยามเกษียณ และการบริหารเงินออมที่มีอยู่หลังเกษียณ แม้ว่าเราอาจจะคิดว่าเงินเกษียณเพียงพอสำหรับใช้จ่ายหลังเกษียณแล้วก็ตาม ทว่าหากบริหารเงินออมดังกล่าวไม่ดีพอ ก็มีสิทธิที่จะมีเงินไม่พอใช้ไปจนตลอดรอดฝั่ง นอกจากนี้การบริหารเงินออมยังเป็นการทำให้เงินออมที่มีอยู่งอกเงยเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยบทความนี้จะนำเสนอเทคนิคการบริหารเงินหลังเกษียณ ดังนี้
1. บริหารรายจ่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อเกษียณอายุ เราอาจจะเริ่มมีรายรับที่ไม่แน่นอน แม้ว่าเราอาจจะมีรายได้ประจำจากเงินบำนาญหรือสวัสดิการจากรัฐ แต่รายได้ส่วนหนึ่งจะมาจากการลงทุนที่มีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้น จะจับจ่ายใช้สอยอย่างคล่องมือโดยไม่วางแผนไม่ได้แล้ว วิธีที่จะช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายได้ คือ การจดบันทึกรายรับรายจ่าย เพื่อให้เราทราบว่าเรามีรายได้เท่าไร มาจากทางไหนบ้าง และเรามีพฤติกรรมการใช้จ่ายอย่างไร ทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้
2. ลดภาระหนี้สิน เป็นสิ่งที่ควรทำให้เรียบร้อยก่อนเกษียณ เพราะเมื่อเกษียณอายุแล้ว ต้องไม่มีหนี้สินหลงเหลืออีกแล้ว ดังนั้น ก่อนเกษียณสัก 5 ปีต้องเริ่มสำรวจหนี้สิน (สำหรับคนที่ยังมีหนี้) และวางแผน ‘ภารกิจพิชิตหนี้’ โดยตั้งเป้าหมายปลดหนี้ให้หมดก่อนเกษียณอายุให้ได้
3. การบริหารพอร์ตการลงทุน โดยจุดประสงค์ของการจัดสรรเงินก้อนสุดท้ายนี้ มีอยู่ 2 ประการคือ เพื่อให้มีเงินเกษียณเพียงพอกับค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน และเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในอนาคตที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากเงินเฟ้อ ซึ่งพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม ควรมีลักษณะดังนี้
- มีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภท
- เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงและมีความเสี่ยงต่ำเป็นส่วนใหญ่ของพอร์ตการลงทุน
- อัตราผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนอย่างน้อยควรมากกว่าเงินเฟ้อ
- สามารถสร้างรายได้ประจำ เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผลอย่างสม่ำเสมอได้
- ควรมีสภาพคล่องสูงในการเปลี่ยนเป็นเงินสด เพราะอาจต้องขายหลักทรัพย์เพื่อมาใช้จ่าย
โดยคำแนะนำการจัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับวัยเกษียณ ควรมีการกระจายการลงทุนดังนี้
- สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝากประจำ กองทุนรวมตลาดเงิน ประมาณ 40-70% ของเงินลงทุนทั้งหมด
- สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงปานกลาง เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน กองทุนรวมตราสารหนี้ และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ประมาณ 20-40% ของเงินลงทุนทั้งหมด
- สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น และกองทุนรวมหุ้น ประมาณ 5-15% ของเงินลงทุนทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม หากคิดว่าการจัดพอร์ตการลงทุนในรูปแบบดังกล่าวเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ก็อาจจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่ออกแบบมาเพื่อวัยเกษียณอายุ หรือกองทุนรวมที่สามารถสร้างรายได้ประจำแทนก็ได้ นอกจากนี้ต้องไม่ลืมกันเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นเงินสภาพคล่องเผื่อฉุกเฉิน อย่างน้อย 6-12 เท่าของค่าใช้จ่ายประจำ และเก็บไว้ในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น เงินฝากออมทรัพย์หรือกองทุนรวมตลาดเงิน เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้เบิกถอนออกมาใช้ได้อย่างทันท่วงที สุดท้ายต้องหมั่นตรวจสอบพอร์ตการลงทุนของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่ากลยุทธ์การลงทุนที่ได้วางไว้ จะทำให้เรามีเงินเกษียณพอใช้ไปตลอดชีวิต
ที่มา: SCB (www.scb.co.th)