ไม่น่าเชื่อนะครับว่าในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของฟุตบอลถ้วยยุโรป อย่างแชมเปี้ยนส์ลีก และยูโรป้า ลีก ในปีนี้นั้น มีสโมสรจากกัลโช่ เซเรียอา หลุดรอดเข้าไปถึง 5 จากทั้งหมด 16 โควตา เรียกว่าเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียวเชียว
นาโปลี, อินเตอร์ และเอซี มิลาน กับถ้วยใบใหญ่ ยูเวนตุส-โรม่า ในถ้วยเล็ก น่ารักน่าลุ้นยิ่งนักว่าสุดท้ายแล้วทีมจากแดนมะกะโรนีทั้งห้าอรหันต์ จะดั้นด้นเข้าไปชิงได้สำเร็จสักทีมหรือไม่ ถ้าให้สวมวิญญาณหมอเดา สำหรับ ชปล. น่าจะมีเล็ดลอดเข้าไฟนอลไปได้สักหนึ่ง ไม่นาโปลี ก็ “งูใหญ่” ส่วน ยูโรป้า นั้นมีสิทธิ์ทั้งสองทีมเลย
สาเหตุที่อยู่ดี ๆ ทีมจากอิตาลีกลับมาประสบความสำเร็จแบบนี้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่งนัก เพราะลีกนี้อยู่ในช่วงตกต่ำมานานพอสมควร ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังในการลงทุนซื้อนักเตะเฉกเช่นเดียวกับพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ซึ่งมีมหาเศรษฐีจากต่างชาติเข้ามาอัดฉีดกระสุนดินดำให้ แถมมีค่าเข้าชมและค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดอย่างมากมายมหาศาล นาทีนี้พอจะสรุปที่มาที่ไปได้ว่า
ประการแรก คือ ความโรยราของทีมจากลีกสเปน ปัญหาเรื่องการเงินของบาร์เซโลนา และช่วงผลัดใบนักเตะในทีมกุนซือ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ แห่งแอตเลติโก้ มาดริด สอง “ขาประจำ” แห่งฟุตบอลถ้วยยุโรป กลายเป็นเปิดทางให้ทีมจากประเทศอื่นสอดแทรกขึ้นมายึดพื้นที่แทน
ประการที่สอง คือ ความสามารถของผู้จัดการทีมระดับแนวหน้า แม้กัลโช่เซเรียอาจะไม่อุดมไปด้วยนักเตะระดับท็อปเหมือนสมัยก่อน แต่ว่าไม่ได้ด้อยในเรื่องกุนซือเลย หากพิจารณารายชื่ออย่าง แม็กซิมิเลียโน่ อัลเลกรี, โชเซ่ มูรินโญ่, ซิโมเน่ อินซากี้, ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ ประสบการณ์ความสามารถยังคุมทีมให้โลดแล่นในระดับแนวหน้าได้อย่างไม่อายใคร
ประการที่สาม คือ เวลาในการพัฒนาทีมอย่างต่อเนื่องอันนี้น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด! รายชื่อผู้จัดการทีมดังกล่าวมีเวลาในการพัฒนาทีมของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง จากความกดดันที่ไม่ได้ถาโถมเข้าใส่เหมือนในพรีเมียร์ลีกอังกฤษนั่นเอง ในลีกผู้ดีนั้นกุนซือคนไหนพลาดเมื่อไหร่ มีสิทธิ์โดนเด้งทันทีทันควัน ดูตัวอย่าง โธมัส ทูเคิ่ล เป็นต้น แต่ที่อิตาลี พวกเขายังพอมีเวลาหายใจได้บ้าง
วันเวลาที่พวกเขาได้รับนั้นกลับกลายเป็นความมั่นคงของการสร้างทีม แม้สภาพการเงินจะมีขอบเขตและข้อจำกัด มูรินโญ่ อาจไม่สามารถใช้เงินได้มากเหมือนสมัยอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซิโมเน่ อินซากี้ ต้องทำทีมไปพร้อม ๆ กับการขายนักเตะเพื่อหาเงินมาล้างหนี้ให้สโมสรเมื่อสองฤดูกาลก่อน คือการปล่อย อัชราฟ ฮาคิมี่, โรเมลู ลูกากู, อเล็กซิส ซานเชส และอิวาน เปริซิช แต่เขาก็ตบแต่งทีมจนยืนระยะความสำเร็จเอาไว้ได้ด้วยนักฟุตบอลที่ขึ้นมาทดแทนเป็นอย่างดีอย่าง เดนเซล ดุมฟรี่ส์, เอดิน เชโก้, ฮาคาน ชาฮาโนกลู และโรบิน โกเซ่นส์
ส่วนสโมสร นาโปลี นั้นคือความมหัศจรรย์แบบสุด ๆ ในฤดูกาลนี้ เมื่อพวกเขามีลุ้นจะคว้าทั้ง “สคูเด็ตโต้” เพราะนำห่างถึง 18 แต้ม และเข้าชิงฯ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยนักเตะที่มีชื่อเสียงในระดับปานกลาง แต่ได้กุนซือเก๋าประสบการณ์อย่าง ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ หล่อหลอมให้ทีมลงตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ
นักเตะอย่าง คิม มิน แจ, อังเดร แซมโบ อองกิสซ่า, วิคเตอร์ โอซิมเฮน และควิช่า ควารัตเชเลีย นั้น ก่อนหน้านี้คงหาแฟนบอลรู้จักทำยายาก แต่ตอนนี้โลกจะต้องพยายามเรียนรู้และจดจำพวกเขา
ส่วนยูเวนตุส นั้นแม้จะเจอมรสุมเรื่องราวสกปรกของฝ่ายบริหาร แต่แม็กซ์ อัลเลกรี ยังพยายามประคองทีมไปต่อให้ได้ แม้ไม่มีดาราคับทีมเหมือนสมัยก่อน ยุคนี้ไม่มีแล้วรายชื่ออย่างคริสเตียโน่ โรนัลโด้, เปาโล ดิบาล่า, อัลวาโร่ โมราต้า หรือกอนซาโล่ อิกวาอิน แต่ความมุ่งมั่นตั้งใจและทีมเวิร์กต่างหากคือสิ่งที่สำคัญสูงสุดสำหรับทีมฟุตบอลทีมใดทีมหนึ่ง
เหนือสิ่งอื่นใดสโมสรชั้นนำต่าง ๆ ของอิตาลี ดูจะมีความมุ่งมั่นและสมาธิอยู่กับการสร้างทีมและเน้นผลงานในสนามมากกว่าเรื่องราวดราม่าอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน เรื่องเจ้าของ เรื่องคดีความ เรื่องล็อกผลการแข่งขัน เรื่องความขัดแย้ง เป็นครั้งแรกในรอบหลาย ๆ ปี
สุดท้ายมันได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “ฟุตบอล” พิสูจน์กันที่ผลงานในสนามเท่านั้น!