บรรเทาอาการหวัด ขจัดเชื้อก่อโรค เพียงล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ

สภาพอากาศในช่วงนี้กลับมาย่ำแย่แปรปรวนเหลือเกิน เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว วันดีคืนดีฝนก็ตกอีก จนแทบจะมีครบทั้ง 3 ฤดูในวันเดียว เจอความปรวนแปรขนาดนี้ ร่างกายของคนบางคนปรับสภาพไม่ทัน จึงแสดงอาการเจ็บป่วยออกมาให้เห็น เป็นไข้เป็นหวัดได้ง่าย ๆ และไหนจะฝุ่น PM2.5 ที่นับเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพอย่างยิ่งยวด เมื่อเราหายใจเอาอนุภาคฝุ่นขนาดเล็กนี่เข้าไป จะเกิดผลกระทบต่อสุขภาพ อาการระยะสั้น ได้แก่ อาการระคายเคืองในลำคอและทางเดินหายใจ อาการไอ แพ้อากาศ และหายใจลำบาก ส่วนในระยะยาว เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้เลยทีเดียว

ซึ่งนอกจากเทคโนโลยีเพื่ออากาศบริสุทธิ์อย่างเครื่องฟอกอากาศจะพอช่วยให้ระบบทางเดินหายใจของเราไม่ต้องรับมลพิษเข้าไปมากได้แล้ว “การล้างจมูก” ก็เป็นอีกวิธีที่พอจะช่วยบรรเทาความรุนแรงอาการเจ็บป่วยทางระบบทางเดินหายใจได้เช่นกัน เมื่อมีอาการเป็นหวัด คัดจมูก เนื่องจากอากาศแปรปรวน หรือเมื่อรู้สึกว่าหายใจเอาฝุ่นควันเข้าไปมากเกินไป การล้างโพรงจมูกด้วยน้ำเกลือจะช่วยทำความสะอาดด้านในโพรงจมูก กำจัดสิ่งสกปรกไม่พึงประสงค์ที่ถูกกรองไว้โดยขนจมูก ลดปริมาณเชื้อโรค ของเสีย และสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ บรรเทาอาการระคายเคือง บรรเทาอาการหวัด อาการแน่นจมูก หายใจไม่ออก ช่วยให้หายใจโล่งขึ้น และป้องกันการลุกลามของเชื้อโรคที่อยู่ภายในโพรงจมูก

การล้างจมูกเหมาะกับใครบ้าง

การล้างจมูก เป็นการสวนล้างโพรงจมูกด้วยน้ำเกลือ เพื่อล้างทำความสะอาดน้ำมูก เชื้อโรค สิ่งสกปรก และสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ออกไปจากโพรงจมูก เพื่อให้โพรงจมูกชุ่มชื้น ลดอาการน้ำมูกไหลลงคอและลดอาการคัดจมูก ช่วยให้หายใจได้สะดวกขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ต้องการจะล้างจมูกไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนป่วยด้วยโรคทางโพรงจมูกเสมอไป เพราะคนที่มีสุขภาพแข็งแรงดี ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยอะไร ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก (ที่สามารถกลั้นหายใจ และสั่งน้ำมูกเองได้) ก็สามารถล้างจมูกได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ควรล้างจมูกอย่างสม่ำเสมอ มีดังต่อไปนี้

  • โรคภูมิแพ้
  • โรคไซนัสอักเสบ
  • โรคริดสีดวงจมูก
  • โรคจมูกอักเสบเหี่ยวฝ่อ
  • โรคหอบหืด ที่ต้องพ่นยาเป็นประจำ
  • ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดจมูกและ/หรือไซนัส
  • ผู้ป่วยที่ได้รับการฉายแสงบริเวณจมูกและ/หรือไซนัส
  • คนที่ต้องเผชิญมลภาวะ สูดดมฝุ่น ควันบ่อย ๆ
  • เป็นหวัดคัดจมูก มีน้ำมูกหรือเสมหะมากเกินไป จนรบกวนการหายใจ

การล้างจมูกมีประโยชน์อย่างไร

จริง ๆ แล้ว การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือก็คือการล้างเอาสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ภายในโพรงจมูกออกไป ไม่ว่าจะเป็นน้ำมูกที่ข้นเหนียว เชื้อโรค ของเสีย และสารก่อภูมิแพ้ที่ถูกขนจมูกดักจับไว้ เพื่อให้โพรงจมูกสะอาดขึ้น หากกำลังป่วยเป็นหวัดอยู่ก็สามารถช่วยบรรเทาอากาศหวัดให้ทุเลาลงได้ เนื่องจากสิ่งสกปรกต่าง ๆ ถูกชำระล้างออกไปแล้ว ลดโอกาสในการลุกลามของเชื้อโรคในโพรงจมูก ป้องกันไม่ให้อาการไซนัสลงปอด บรรเทาอาการระคายเคืองที่เกิดขึ้นในโพรงจมูก บรรเทาอาการแน่นจมูกหรือหายใจไม่ออก ให้หายใจโล่งขึ้น ทั้งยังเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเยื่อบุโพรงจมูกด้วย และสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องใช้ยาพ่นจมูกเพื่อรักษาโรค ยาจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเมื่อจมูกโล่งสะอาด

คุณสามารถล้างจมูกบ่อย ๆ ตามต้องการ โดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด อาจจะมีอาการแสบจมูกเล็กน้อย แต่โดยทั่วไปไม่ได้มีปัญหาใด ๆ ต่อสมองและหู ดังนั้น เมื่อคุณรู้สึกได้ว่าภายในโพรงจมูกไม่สะอาด หรือเมื่อมีอาการหายใจไม่ออกหรือคัดจมูก หรือเป็นผู้ป่วยที่ต้องพ่นยาในจมูกเสมอ (หลังจากล้าง ให้รอโพรงจมูกแห้งก่อนพ่นยา ประมาณ 3-5 นาที) ก็ควรที่จะล้างจมูกได้เลย อย่างไรก็ตาม มีคำแนะนำว่าให้ล้างจมูกก่อนรับประทานอาหาร (ขณะท้องว่าง) หรือหลังรับประทานอาหารไปแล้วอย่างน้อย 2 ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอาเจียนหรือสำลัก และห้ามใช้น้ำเปล่าในการล้างจมูก เพราะอาจทำให้เกิดอาการสำลักน้ำ และแสบโพรงจมูกได้

น้ำสะอาดผสมเกลือแกง ใช้ล้างจมูกได้ไหม

แฟนเพจเฟซบุ๊ก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ โพสต์ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้น้ำเกลือล้างจมูก จากข้อสงสัยที่ว่าเราสามารถใช้เกลือแกงผสมกับน้ำสะอาดทำเป็นน้ำเกลือได้หรือไม่ จำเป็นไหมที่จะต้องใช้น้ำเกลือทางการแพทย์แบบขวดที่ขายตามร้านขายยาหรือร้านสะดวกซื้อ และน้ำเกลือที่ระบุข้างขวดว่าปลอดเชื้อนั้นจำเป็นแค่ไหน คำตอบคือ เราสามารถใช้น้ำเกลือทำเอง (ที่เกิดจากการนำเกลือแกงผสมกับน้ำสะอาด) ล้างจมูกได้ ในกรณีที่เราไม่ใช่กลุ่มคนที่ต้องระวังการติดเชื้อซ้ำที่โพรงจมูก ก็ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำเกลือทางการแพทย์

เนื่องจากมีคำแนะนำเรื่องการใช้น้ำเกลือล้างจมูกจากเว็บไซต์โรงพยาบาล และเขียนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แนะนำว่าสามารถใช้เกลือแกงผสมกับน้ำบริสุทธิ์ในการฉีดล้างจมูกได้ เพราะจะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า โดยให้ใช้น้ำต้มสุก หรือน้ำสะอาดสำหรับดื่ม ปริมาณ 500 ซีซี ผสมกับเกลือสะอาดประมาณ 1 ช้อนชา เขย่าผสมให้เข้ากัน เทน้ำเกลือที่ผสมแล้วลงในแก้วที่สะอาด แล้วใช้ไซรินจ์ขนาด 10 ซีซี ดูดน้ำเกลือจนเต็มแล้วฉีดเข้าจมูก ทำช้า ๆ ข้างละ 3-4 ครั้ง จนน้ำมูกหมดหรือจมูกโล่ง โดยมีคำแนะนำว่าควรจะอุ่นน้ำเกลือให้มีอุณหภูมิพอเหมาะกับเยื่อบุจมูกก่อนด้วย เนื่องจากการใช้น้ำเกลือที่ไม่ได้อุ่นล้างจมูก อาจทำให้เกิดการคัดจมูกหลังการล้างได้

อย่างไรก็ตาม มีคำแนะนำอีกว่าน้ำเกลือที่ผสมเอง ควรใช้ภายใน 1 วันเท่านั้น หากเหลือให้ทิ้งไป ดังนั้น สำหรับคนที่ร่างกายแข็งแรงดี ไม่ได้เป็นโรคที่เกี่ยวกับโพรงจมูก แล้วอยากล้างทำความสะอาดในโพรงจมูกก็สามารถใช้น้ำเกลือผสมเองฉีดล้างจมูกได้ เนื่องจากไม่ใช่กลุ่มคนที่ต้องระวังการติดเชื้อซ้ำที่โพรงจมูก ส่วนในกลุ่มคนที่ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวกับโพรงจมูก หรือกังวลเรื่องการติดเชื้อ เพื่อความปลอดภัย ทางการแพทย์ระบุว่าควรใช้น้ำเกลือแบบ “0.9% Sodium Chloride ปราศจากเชื้อ” ซึ่งเป็นน้ำเกลือสำเร็จรูปที่บรรจุขวดจากโรงงาน แน่นอนว่ามีราคาสูงกว่าน้ำเกลือผสมเอง แต่จะป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อน และความเข้มข้นของน้ำเกลือจะไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองในโพรงจมูก

อุปกรณ์ในการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ

  • น้ำเกลือปลอดเชื้อที่มีความเข้มข้น 0.9% สามารถหาซื้อได้ที่โรงพยาบาลหรือร้านขายยาทั่วไป หรือจะผสมเองก็ได้ สำหรับคนที่ไม่ได้มีความเสี่ยงเรื่องการติดเชื้อในโพรงจมูก
  • ภาชนะสะอาดสำหรับใส่น้ำเกลือ
  • กระบอกฉีดยาพลาสติกหรือไซรินจ์ ขนาด 5-10 ซีซี (สำหรับเด็ก) ขนาด 10-20 ซีซี (สำหรับผู้ใหญ่)
  • ภาชนะรองน้ำ หรือไปล้างจมูกที่อ่างล้างหน้าก็ได้ กระดาษชำระ

ขั้นตอนในการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ

  • ล้างมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะใช้ในการล้างจมูกให้สะอาด
  • เทน้ำเกลือลงในภาชนะสะอาดที่เตรียมไว้
  • ใช้ไซรินจ์ดูดน้ำเกลือขึ้นมาประมาณ 5-10 มิลลิลิตร จากนั้นโน้มตัวเหนือภาชนะรองรับ
  • ดันไซรินจ์ให้แนบสนิทกับรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง จากนั้นกลั้นหายใจ ก้มหน้า อ้าปาก หรืออาจจะร้อง “อา…” โดยลากเสียงยาว ๆ ก็ได้
  • ขณะที่กลั้นหายใจอยู่ ให้ค่อย ๆ ฉีดน้ำเกลือเข้าไปในรูจมูก ให้น้ำเกลือไหลผ่านเข้าไปในโพรงจมูกข้างที่สอดไซรินจ์ และจะไหลออกทางรูจมูกอีกด้านหนึ่ง
  • หากมีน้ำมูกค้างอยู่ให้สั่งออกมาเบา ๆ หรือหากมีน้ำเกลือบางส่วนไหลออกมาทางปากก็ให้บ้วนทิ้งไป
  • ล้างจมูกอีกข้างด้วยขั้นตอนแบบเดียวกัน
  • อาจทำซ้ำโดยล้างจมูกสลับกันไปมา จนกว่าจะรู้สึกว่าหายใจโล่ง ไม่มีน้ำมูกแล้ว

ข้อมูลจาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล