เมื่อนายพรานติดกับดักของตนเอง

Man is the only kind of varmint set his own trap,  bait it, then step in it (มนุษย์เป็นสัตว์นักล่าประเภทที่วางกับดักเอาไว้ล่อเหยื่อ แต่สุดท้ายดันติดกับดักนั้นเสียเอง) เป็นประโยคที่ จอห์น สไตน์เบ็ก พูดถึงด้านหนึ่งของมนุษย์อันเป็นสิ่งมีชีวิตที่แสนโง่ หากแต่ยังหยิ่งผยองว่าเหนือกว่าผู้อื่นและไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขากระทำนั้นส่งผลเสียต่อผู้คนรอบข้างอย่างไรบ้าง

ประโยคที่สไตน์เบ็กกล่าวไว้ หากดูจะเข้ากับเหตุการณ์ก่อนที่คนไทยทั้งประเทศจะได้ชมฟุตบอลโลก หลังจากที่ก่อนหน้าเหล่ากูรูฟุตบอลไม่ว่าจะเป็น บี แหลมสิงห์, แจ็คกี้ อดิสรณ์ พึ่งยา, ยักษ์ ดอยแดง (จิตกร ศรีคำเครือ) หรือแม้แต่บอสใหญ่ต้นคิดมีเดีย ธีรพัฒน์ อัครเศรณี ต่างถูกคนรอบข้างและคนในโซเชียลสอบถามอยู่ตลอด ว่าฟุตบอลโลกรอบนี้จะได้ดูทางแพลตฟอร์มไหน

ขณะที่ฟุตบอลโลกที่การ์ตา ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ ความเคลื่อนไหวในประเทศดูจะสวนกระแสกับความเคลื่อนไหวในภูมิภาค เพลงฟุตบอลโลกทั้งที่มาจากเจ้าภาพ หรือจากสปอนเซอร์หลักก็ไม่มีปรากฏให้เห็นมากเท่าใดนัก ในอดีตนี่คือช่วงเวลาที่เหล่าแบรนด์กีฬาต้องออกมาเปิดตัวเสื้อทีมชาติกันให้คึกคักตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หากในครั้งนี้ทุกอย่างเงียบสงบ เหมือนประเทศไทยอยู่คนละจักรวาลกับการ์ตา 2022 (ฮา)

สุดท้ายแล้วเมื่อมีเสียงสอบถามกันเข้ามามาก ทั้งการกีฬาแห่งประเทศไทย และ กสทช. ก็ต้องขยับตัว เพราะไม่มีเอกชนรายใดซื้อลิขสิทธิ์ที่เปรียบเสมือนทุกข์ลาภ เพราะแม้จะถือลิขสิทธิ์การแข่งขันฟุตบอลระดับโลก แต่ก็ใช่ว่าจะดำเนินการใด ๆ ได้อย่างอิสระ เพราะการซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกนั้นเข้าไปอยู่ในกฎ Must Carry และ Must Have ที่ออกโดย กสทช. อย่างไม่มีทางเลี่ยง ขนาดเจ้าใหญ่ของประเทศ ที่ยอมจ่ายในฟุตบอลโลกรอบที่แล้วในปี 2018 ยังไม่ยอมลงมาเล่นในรอบนี้เลยละวิ!

ความหวังดีของ กสทช. ในชุด 2555 ที่กำหนดกฎ Must Have และ Must Carry ขึ้นมา ส่วนหนึ่งเพราะต้องการให้เกิดความเท่าเทียมในการได้รับชมกีฬาระดับโลก โดยมีนัยยะว่าเพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์ สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนไทยที่ได้รับชม แต่กลายเป็นว่ากฎดังกล่าวกลับกลายมาเป็นบ่วงพันธนาการ กสทช. เอาไว้ เปรียบเสมือนประโยคของจอห์น สไตน์เบ็ก ที่ได้เขียนไว้ในข้างต้น ซึ่งท้ายที่สุดท้ายคนวางกับดักดันติดกับดักตนเอง

สำหรับกฎ Must Have นั้นกำหนดไว้ว่า หากมีการซื้อลิขสิทธิ์ 7 ทัวร์นาเมนต์ อันได้แก่ ซีเกมส์ เอเชียนเกมส์ เอเชียนพาราเกมส์ อาเซียนพาราเกมส์ โอลิมปิก พาราลิมปิก และฟุตบอลโลก คนไทยจะได้รับชมฟรีไม่ว่าเจ้าที่ซื้อจะอยู่ในแพลตฟอร์มใด เพราะในข้อตกลงที่จะเผยแพร่นั้นต้องมีการออกอากาศทางฟรีทีวีหรือทีวีดิจิทัลในปัจจุบัน

ขณะที่กฎ Must Carry คือการรับชมได้ทุกแพลตฟอร์ม ห้ามจอดำ อาทิ คุณรับชมดิจิทัลทีวีจากกล่องแบบบอกรับสมาชิก เอกชนที่ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดไม่มีสิทธิ์ไปห้ามออกอากาศในกล่องนั้นได้ (ง่าย ๆ คือห้ามจอดำแม้ชมผ่านกล่อง)

ด้วยความซับซ้อนของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดของทัวร์นาเมนต์ระดับพรีเมียม ที่มีข้อบังคับของแต่ละเจ้าอยู่แล้ว เมื่อต้องมาเจอกับ Must Have และ Must Carry ที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก พอจบฟุตบอลโลกปี 2018 ภาคเอกชนที่เคยเห็นฟุตบอลโลกเป็นพรีเมียมคอนเทนต์ต่างเบือนหน้าหนีทันที เมื่อมีใครถามถึงฟุตบอลโลก 2022

และเมื่อภาคเอกชนเบือนหน้าหนี ภาครัฐก็ต้องเข้ามาจัดการ โดยมี กกท. (การกีฬาแห่งประเทศไทย) เป็นเจ้าภาพ ขณะที่ กสทช. ในฐานะผู้ออกกฎต้องกลายมาเป็นผู้จ่ายจากกฎที่ตนเองออกไปเอง ส่วนช่องทางการรับชมนั้น เมื่อมาถึงจุดนี้ จะเป็นดิจิทัลทีวีช่องไหนคงคาดเดาได้ไม่ยาก และด้วยกฎ Must Have และ Must Carry ที่ต้องครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม เหล่าภาคเอกชนที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มทั้งออนไลน์หรือแบบบอกรับสมาชิกก็ได้อานิสงส์ไปด้วยไม่น้อย

ล่าสุดนั้น มีแหล่งข่าวจาก กสทช. มาให้สัมภาษณ์กับสื่อ ว่าเตรียมจะพิจารณาปรับกฎ Must Carry และ Must Have เพื่อให้เอกชนกล้าที่จะลงทุนในการซื้อลิขสิทธิ์ ถึงจุดนี้ก็ขอเอาใจช่วย กสทช. ให้สามารถแก้ไขกฎดังกล่าวได้โดยไว เพราะเอาเข้าจริงแล้วในต่างประเทศนั้น การชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก หรือทัวร์นาเมนต์กีฬาอื่นในระดับนี้ ใช่ว่าจะได้ดูฟรีเพราะเป็น exclusive content ผู้ชมจะเข้าถึงได้ต้องยอมจ่ายเพื่อให้ได้รับชม

ซึ่งคำว่า Exclusive Contents นั้น คือเนื้อหาที่มีมูลค่า เอกชนที่ลงทุนซื้อลิขสิทธิ์สามารถนำมาสร้างมูลค่าต่อเพื่อให้เกิดการแข่งขันทางการค้า การลดมูลค่าของ Exclusive Content ให้กลายเป็นของฟรีด้วยกฎแบบฝืนธรรมชาติ จนต้องไปขอร้องนักการเมืองเพื่อของบประมาณ เหมือนเด็กที่ต้องขอเงินไปซื้อขนม เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับตลาด Exclusive Content

ยิ่งไปกว่านั้น พฤติกรรมผู้บริโภคหรือผู้ชมนั้น ในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากเดิมมาก การรับชมแบบเสียเงิน หรือ Over The Top TV (OTT) เป็นเรื่องปกติที่ใครใคร่ชมก็ยอมจ่ายเงิน ถ้าพวกเขาต้องการชมจริง ๆ และตรงนี้ก็จะทำให้เกิดการแข่งขันที่มีคุณภาพจาก Audience ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ภาคเอกชน ยินดีลงทุนในการซื้อลิขสิทธิ์

แต่ถ้า กสทช. ยังยืนยันจะใช้กฎเดิมไม่ผ่อนปรน ฟุตบอลโลกในอีกสี่ข้างหน้าที่จะมีเจ้าภาพร่วม 3 ประเทศ อันได้แก่ เม็กซิโก สหรัฐอเมริกา และแคนาดา ทาง กสทช. คงต้องหยอดกระปุกค่าลิขสิทธิ์เอาไว้แต่เนิ่น ๆ แล้วกันค่ะ

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า