ช่องว่างระหว่าง “เรือใบ” กับ “หงส์”

เริ่มต้นฤดูกาลไปเพียง 7 นัด จ่าฝูง แมนฯ ซิตี้ออกนำอดีตรองแชมป์อย่างลิเวอร์พูล ไปแล้ว 8 คะแนน แต่ทำไมเสียงวิจารณ์และความรู้สึกของแฟนทั้งสองทีมมันจึงดูห่างกันเหลือเกิน บางคนถึงขนาดบอกว่ายกแชมป์ประเคน “เรือใบสีฟ้า” ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า ภายหลังชัยชนะเหนือวูล์ฟ 3-0 ส่วน “หงส์แดง” แม้กระทั่งลุ้นอันดับสองนั้นยังดูยาก เพราะมีทั้งสเปอร์สและอาร์เซนอลแรงขึ้นมาในปีนี้

ต้องยอมรับในช่วง 3-4 ซีซั่นที่ผ่านมา การขับเคี่ยวระหว่างเป๊ป กวาดิโอล่า กับเจอร์เก้น คล็อปป์ สูสีกันยิ่งนักและมีส่วนช่วยสร้างสีสันให้กับการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกให้เข้มข้น อย่างปีที่แล้ว แมนฯ ซิตี้ ทำไป 93 “หงส์แดง” เก็บ 92 เฉือนกันไปเพียงแค่คะแนนเดียวเท่านั้น แต่พอมาปีนี้ทั้งผลงานในสนามและผลการแข่งขันที่ออกมากลับดูห่าง ทั้งบอลลีกและในถ้วยยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 

ปัจจัยสำคัญซึ่งสร้างความแตกต่างชัดเจนคือการซื้อขายตัวนักเตะในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา โดยทางฝั่ง “เรือใบสีฟ้า” ดูมีภาษีดีกว่าอย่างชัดเจนด้วยการเลือกซื้อศูนย์หน้าสตั๊ดเหินหาว (ขอยืมฉายา เดนิส ลอวร์ มาใช้หน่อยเถิด) เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ มาจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยราคาที่สมน้ำสมเนื้อคือ 60 ล้านยูโรหรือประมาณ 50 ล้านปอนด์ แต่สามารถยกระดับทีมขึ้นมาได้อย่างเด่นชัด

ประกอบตัวผู้เล่นเดิมที่ “เป๊ป” ทยอยสะสมเอาไว้แล้วก่อนหน้านั้นอย่าง แจ็ค กรีลิช, ฟิล โฟเด้น, ริยาด มาห์เรซ, แบร์นาโด้ ซิลวา, อิลคาย กุนโดวาน, โรดรี ยังอยู่กันครบครัน เมื่อฤดูกาลที่แล้วยังยิงกันเละเทะ ปีนี้มาได้ศูนย์หน้าแท้ ๆ อย่าง ฮาลันด์ มาเติมเข้าไปอีกก็ซัดกันระเบิดเถิดเทิงไปเลยสิครับไอ้น้อง

อย่าลืมว่าพวกเขายังแอบซุกดาวเตะทีมชาติอังกฤษเอาไว้อีกคนอย่าง คัลวิน ฟิลลิปส์ ซึ่งซื้อมาจากลีดส์ แต่สภาพร่างกายยังไม่สมบูรณ์ หากกลับมาเมื่อไหร่ก็จะกลายเป็นอะไหล่ชั้นดีให้กับ “เรือใบสีฟ้า” อีกหนึ่งคนด้วย

ขณะเดียวกัน “ขาออก” ทีมงาน “เป๊ป” ยังแสดงความฉลาดหลักแหลมด้วยการปล่อยตัว ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, กาเบรียล เชซุส, โอเล็ก ซินเชนโก้ ออกไปได้สตางค์เข้ามา แต่ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรต่อทีมเลย

ส่วนการเสริมทัพของทางฝั่ง “หงส์แดง” นั้นตรงกันข้าม นักเตะใหม่ยังไม่ได้โชว์อะไรที่มันชัดเจนมากนัก ดาร์วิน นูนเญซ, ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ และคัลวิน แรมซี่ย์ รวมทั้งอาตูร์ เมโล่ ยังไม่สามารถการันตีอะไรได้

ขณะเดียวกันการขายนักเตะอย่างซาดิโอ มาเน่ ดูจะทำให้ทีมเสียสมดุลในแดนหน้าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเจอเรื่องอาการบาดเจ็บของผู้เล่นยิ่งหนักเข้าไปอีก

ถ้าวิเคราะห์ลงไปลึกสิ่งที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ “เรือใบสีฟ้า” ของ “เป๊ป” ชุดนี้กลายเป็นทีมแห่งอนาคตและมีความลงตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีนักเตะตัวหลักที่อายุเกิน 30 อยู่ก็คือ ไคล์ วอล์คเกอร์ (32 ปี) เควิน เดอ บรอยน์ (31 ปี) อิลคาย กุนโดวาน (31 ปี) และริยาด มาห์เรซ (31 ปี) ซึ่ง 2-3 คนในจำนวนนี้เท่านั้นที่เป็นตัวจริง  

ส่วนของลิเวอร์พูล ไล่มาตั้งแต่ โฌแอล มาติป (31 ปี) เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ (31 ปี) จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (32 ปี) ติอาโก้ อัลคันทาร่า (31 ปี) โม ซาลาห์ (30 ปี) โรเบอร์โต้ ฟีร์มีโน่ (30 ปี) เจมส์ มิลเนอร์ (36 ปี) ที่น่ากลัวคือ 5 ใน 7 คนนี้เป็นตัวจริง และขยายความง่าย ๆ ว่าครึ่งทีมใน 11 ตัวจริงนั้น อายุแตะเลข 3 กันหมดแล้ว

นั่นหมายความว่าคล็อปป์ ยังจะต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนถ่ายเพื่อสร้างทีมใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อสร้างความสำเร็จให้ได้เท่าเก่า ส่วนกุนซือชาวสเปนนั้นเดินผ่านจุดนั้นมาเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นงานหนักยังรอคอยกุนซือชาวเยอรมันอยู่ข้างหน้า

โอกาสที่ เป๊ป กวาดิโอล่า จะเดินผิวปากล้วงกระเป๋าพาซิตี้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครองแบบที่ฝรั่งเรียกว่า “Three in a row” หรือ 3 ปีซ้อนดังเช่นปรมาจารย์อย่าง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยทำไว้ระหว่างปี 1999 ถึง 2001 นั้นมีค่อนข้างสูง เพราะดูฟอร์มแต่ละนัดแล้วช่างห่างชั้นกับทีมอื่นเหลือเกิน

ส่วนความแตกต่างของทั้งสองทีมนั้นจะมากหรือน้อยไปกว่านี้นั้น คงต้องฝากความหวังไว้ที่ฟอร์มของศูนย์หน้าค่าตัวแพงอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ ว่าจะเป็น “ของจริง”

แต่ถ้าสุดท้ายเขากลายเป็นเพียงแอนดี้ แคร์โรลล์ จำแลงแปลงร่างมาก็ตัวใครตัวมันล่ะชาวหงส์.