ไม่มีธุรกิจใดเหมือนกับธุรกิจบันเทิง

เพลง There’s no Business Like Show Business (ไม่มีธุรกิจใดเหมือนกับธุรกิจบันเทิง) เป็นเพลงที่แต่งโดย เออร์วิน เบอร์ลิน ในปี 1946 เพื่อใช้ประกอบในละครเพลง เป็นเพลงที่บรรยายให้เห็นถึงภาพความน่าตื่นตาตื่นใจ และเสน่ห์ของธุรกิจบันเทิงที่ทำให้ผู้ที่ได้เข้ามาสู่วงการนี้ หรือเป็นเจ้าของธุรกิจต่างติดอยู่ในธุรกิจนี้และไม่สามารถถอนตัวออกไปได้

คำว่า Show Business ไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะความบันเทิงในแนวภาพยนตร์หรือละครอย่างเดียว แต่หมายรวมไปถึงธุรกิจในวงการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ ละครเวที ซึ่งในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ธุรกิจบันเทิงได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการและประสบการณ์ในการรับชมไปเป็นอย่างมากด้วยการถือกำเนิดของธุรกิจสตรีมมิ่ง ที่หลายคนบอกว่านี่คืออนาคตของธุรกิจบันเทิง

หากในโลกยุคหลังโควิด -19 อะไรที่เคยคาดการณ์ไว้มีอันต้องเปลี่ยนแปลงเพราะสภาพเศรษฐกิจที่เปรียบเสมือนยุคหลังสงครามโลก และทำให้สตรีมมิ่งเจ้าใหญ่อย่างน้อยสองเจ้าที่ต้องประกาศปรับราคาแพ็กเกจของตนเอง

เจ้าแรกเป็น Netflix ที่ประกาศปรับราคา โดยรายงานตามที่เว็บไซต์การตลาดอย่างPositioningmag.com ระบุไว้ว่า Netflix เตรียมออกแพ็กเกจราคาประหยัดที่ผู้ชมต้องดูโฆษณาด้วย โดยราคาอยู่ในช่วง 7-9 เหรียญสหรัฐ โดยสมาชิกในแพคเกจดังกล่าวต้องชมโฆษณาความยาวประมาณ 4 นาที ต่อคอนเทนต์ 1 ชั่วโมง

อีกเจ้าที่มีข่าวในช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาคือ Disney Plus ที่เตรียมขึ้นราคาในช่วงปลายปี 2565 และปล่อยแพ็กเกจราคาประหยัดที่มาพร้อมกับโฆษณา ซึ่งนั่นหมายถึง HuLu และ ESPN Plus ที่ดิสนีย์เป็นเจ้าของต้องปรับราคาตาม โดยราคาที่มีการคาดการณ์กันนั้นไม่ได้ต่างจากอันดับหนึ่งของตลาดอย่าง Netflix สักเท่าไรนัก

การขยับตัวของสองเจ้าใหญ่ต้อนรับการปรับค่าครองชีพครั้งใหญ่ของโลกหลังโควิด-19 น่าจะทำให้เจ้าอื่นต้องขยับตัวตาม เรียกได้ว่าตอนนี้ตลาดเป็นของผู้บริโภคอย่างแท้จริงละค่ะ เพราะมีปลาให้เลือกจับหลายตัว พอใจแบบไหนก็เลือกแบบนั้น เพราะเอาเข้าจริงแล้ว แพลตฟอร์มการรับชมในรูปแบบสตรีมมิ่งนั้นไม่ทิ้งกันเท่าไร ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสร้าง Flagship Content (คอนเทนต์เรือธง) ให้กับตนเองได้ดีกว่ากัน

เพราะในยุคนี้ถ้าวัดกันแบบครอบครัวคนชั้นกลางที่มีรายได้ในครอบครัวรวมกัน 50,000 – 80,000 บาท การเป็นสมาชิกสตรีมมิ่งน่าจะเหลือแค่เจ้าเดียว บางครอบครัวอาจตัดทิ้งเสียด้วยซ้ำ เพราะถือว่าความบันเทิงในลักษณะดังกล่าวเป็นของฟุ่มเฟือย

ยิ่งตลาดสตรีมมิ่งที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาได้มีการคาดการณ์ตัวเลขการลงทุนที่ลดลงในธุรกิจสตรีมมิ่ง จากเดิมที่เคยคาดการณ์กันไว้ว่าในช่วงสิ้นปี 2026 จะมีเม็ดเงินลงทุนในธุรกิจนี้สูงถึง 40,400 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจในช่วงนี้ทำให้การคาดการณ์ดังกล่าวต้องลดตัวเลขลงมาอยู่ที่ 33,600 ล้านเหรียญสหรัฐแทน

เอาเป็นว่าสถานการณ์ในช่วงเวลานี้ สำหรับธุรกิจบันเทิง หรือ Show Business ที่ถูกยกย่องด้วยคำพูดว่า “ไม่มีธุรกิจไหนที่จะเหมือนกับธุรกิจบันเทิง” อาจจะรู้สึกเหงา ๆ หรือมีความหยุดชะงักไปบ้าง อันเนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจที่แค่ “เฟด” (ธนาคารกลางสหรัฐฯ) ขึ้นดอกเบี้ย ก็สะเทือนกันไปทั้งโลกและในทุกวงการ

แต่ท้ายที่สุดแล้วโลกก็ต้องหมุนรอบดวงอาทิตย์ เช่นเดียวกับธุรกิจสตรีมมิ่งที่ “เจย์ ซี” แร็ปเปอร์ และ โปรดิวเซอร์ชื่อดังเคยพูดถึงไว้ว่า​ “บรรดานักวิเคราะห์ต่างบอกว่า สตรีมมิ่งคืออนาคตของธุรกิจบันเทิง ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วก็มีประวัติศาสตร์มากจากความบันเทิงที่เราคุ้นเคย สตรีมมิ่งก็เหมือนกับขั้นตอนหนึ่งในการเปลี่ยนผ่านเท่านั้น”

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ