อีก 18 วันนับจากนี้โลกที่เราคุ้นเคยจะเปลี่ยนไป

ดูเหมือนว่าโลกที่เราคุ้นเคยกำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างรวดเร็วโดยเริ่มตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปละค่ะ หลังจากสองปีที่ผ่านมาผู้คนทั่วโลกต้องเผชิญกับวิกฤติของโรคระบาด จนกลายเป็นสงครามโรคไปทั้งโลกและทำให้ธุรกิจแบบดั้งเดิมพังยับถ้าไม่ปรับตัว

ปลายสัปดาห์ที่แล้วได้มีโอกาสอ่านรายงานของ Dentsu International บริษัทที่ดูแลเรื่องสื่อโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ให้กับสินค้าชื่อดังหลายเจ้า ถ้าเรียกตามภาษาคนทำงานก็ต้องบอกว่าเป็นเอเยนซี่ใหญ่ระดับโลกที่เคยดูแลเรื่องการแข่งขันโอลิมปิกมาแล้ว

จากรายงานของ Dentsu (เด็นซึ) ในฐานะพี่ใหญ่ของวงการเอเยนซี่โฆษณาและประชาสัมพันธ์นั้น ทำให้เห็นโลกของสื่อที่กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในปีหน้า ซึ่งเป็นการเปลี่ยนไปตามลักษณะของผู้บริโภค

ทั้งนี้รายงานดังกล่าวสรุปประเด็นมาได้อย่างน่าสนใจ 5 หัวข้อค่ะ ว่าการใช้สื่อในอนาคตอันใกล้ซึ่งไม่ใช่แค่ปี 2022 หรือ 2565 ปีเดียว แต่หมายถึงปีต่อ ๆ ไปที่เทรนด์ของสื่อจะถูกปรับเปลี่ยนไปตามพื้นฐานทั้งห้าข้อและทำให้เหล่าคนที่ผลิตคอนเทนต์ เจ้าของสื่อ รวมไปถึงนักการตลาด และคนที่ต้องใช้สื่อเพื่อทำให้เกิดการจดจำ หรือแม้กระทั่งคุณเองซึ่งเป็นคนเสพสื่อควรรู้เพื่อจะได้เท่าทัน

เริ่มจากโลกในยุคต่อจากนี้จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า Targeting Cookie อีกต่อไป ก่อนจะไปรู้ว่าทำไมถึงจะไม่มี Targeting Cookie มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Targeting Cookie คืออะไร อธิบายแบบง่าย ๆ คือการที่คุณเข้าเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่งในปัจจุบัน แล้วจะมี Pop Up ให้คุณต้องกดยอมรับ Cookie อันหมายถึงการใส่แท็กติดตามว่าคุณสนใจเนื้อหาใดบ้างในเว็บไซต์ และข้อมูลดังกล่าวนั้นจะถูกนำไปปรับปรุงเพื่อพัฒนาเนื้อหา ขณะที่ข้อมูลชุดเดียวกันก็จะถูกรวบรวมเพื่อขายให้กับนักการตลาด

แต่ในปี 2023 เป็นต้นไป ทั้งแอปเปิลและกูเกิลจะไม่รองรับระบบนี้อีกต่อไป แน่นอนว่า เหล่านักการตลาดต้องรีบไปหาแพลตฟอร์มใหม่เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด และนั่นจะทำให้โซเชียลมีเดีย ทุกแพลตฟอร์ม กลายเป็นแหล่งข้อมูลของนักการตลาด ซึ่งหมายความว่า จากนี้เวลาจะเสพเนื้อหาใด ๆ ไม่ว่าจะจากแพลตฟอร์มไหน จำเป็นอย่างยิ่งต้องตรวจสอบก่อน เพราะไม่เช่นนั้นคุณอาจกลายเป็นเหยื่อทางการตลาดไปแบบไม่รู้ตัว

เทรนด์ข้อที่สองของการใช้สื่อคือ อีคอมเมิร์ซ จะขับเคลื่อนโลกใบนี้ เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมากลายเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีของตลาดอีคอมเมิร์ซที่โตอยู่แล้วให้โตเร็วกว่าเดิมขึ้นไปอีก และกลายเป็นว่าตลาดอีคอมเมิร์ซคือ ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจบนโลกใบนี้ไปแล้ว

ส่วนเทรนด์ในข้อที่สามเชื่อว่าหลายคนคงเห็นอยู่แล้ว คือการสร้างโลกเสมือนจริงคู่ขนานไปกับโลกจริง จากที่โลกจริงต้องหยุดนิ่งเพราะโรคระบาด แต่โลกเสมือนจริงกลับขับเคลื่อนการทำงานและการเรียน รวมไปถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้ ขณะที่เจ้าใหญ่ของโลกโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ก ก็ยังวางแผนพัฒนา Metaverse ที่ผสานเอาโลกจริงและโลกเสมือนจริงให้กลายเป็นโลกเดียวกัน

การทำงานและการติดต่อสื่อสารจะเป็นในลักษณะการปรับตัวให้ทำงานหรือสื่อสารได้จากทุกที่ เป็นเทรนด์ในข้อที่สี่ เพราะบทวิเคราะห์ของ “Dentsu” นั้นเชื่อว่าโควิดจะอยู่กับเราไปอีกนานแม้จะไม่ได้เป็นโรคระบาดร้ายแรง แต่ก็จะเป็นโรคระบาดที่ต้องคอยระมัดระวัง

และข้อสุดท้ายคือการใส่ใจต่อโลกของแบรนด์ชั้นนำ ที่จะกลายเป็นเทรนด์ที่ทำให้แบรนด์ใหญ่เล็กทั่วโลกต้องปรับตัว ซึ่งเป็นการปรับตัวเพื่อแสดงให้เห็นว่าแบรนด์แต่ละแบรนด์นั้นสนใจความเป็นไปของกระแสโลก และคนที่เป็นลูกค้าจะรู้สึกประทับใจมากยิ่งขึ้น

ทั้งหมดคือเทรนด์ของการใช้สื่อในอนาคตที่กำลังจะมาถึงเราในเวลาอีกเพียงแค่ 18 วันเท่านั้นค่ะ ใครที่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรก็เริ่มต้นปรับได้แล้ว เพราะโลกเดิมที่เราคุ้นเคยได้ผ่านไปแล้ว ถ้ายังจมอยู่กับความสำเร็จเดิม ๆ บอกเลยว่าไม่ใช่เวลา ถ้าคุณอยากจะเป็นผู้รอดในยุคนี้ นอกจากหูตาต้องไว เพื่อให้ทันการเปลี่ยนแปลงแล้ว การเปิดใจให้กว้างเพื่อรับสิ่งใหม่ พัฒนาทักษะเดิมที่ตนเองมีเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดก็เป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำให้คุณเป็นผู้รอดอย่างเดียว แต่จะทำให้คุณก้าวไปพร้อมกับยุคสมัยได้อย่างสวยงาม

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ