
ซีรีส์ไทยที่กำลังมาแรงที่สุดบนหน้าโซเชียลมีเดียของชาวเน็ตไทยในเวลานี้ เห็นทีว่าจะเป็นซีรีส์เรื่อง สาธุ (The Believers) ที่ปล่อยสตรีมบน Netflix ตั้งแต่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา ผ่านมาสัปดาห์กว่า ๆ กระแสก็ยังแรงไม่แผ่ว รีวิวส่วนใหญ่ที่เห็นผ่านตาบอกตรงกันว่า “ทำถึง” ตีแผ่เรื่องราวในวงการพระพุทธศาสนาได้ครอบคลุมทุกประเด็นดัง และก็มีคอมเมนต์ด่าประมาณว่าทำซีรีส์แบบนี้ออกมาได้ยังไงอยู่ประปรายเท่านั้น ทำให้จากเดิมที่มีแผนในหัวอยู่แล้วว่าจะดูซีรีส์เรื่องไหนมาลงคอลัมน์ ก็เปลี่ยนมาที่เรื่องนี้ดีกว่ายังไงซะก็อยากดูเองอยู่แล้วด้วย
สาธุ (The Believers) เป็นเรื่องราวการหากินกับศาสนาของกลุ่มวัยรุ่นสร้างตัว 3 คน วิน เกม เดียร์ ที่จุดเริ่มต้นของพวกเขาคือการเป็นหุ้นส่วนกันทำบริษัทเกม NFT ที่มีแนวโน้มดีมากหลังจากปล่อยเกม มูลค่าพุ่งสูงซะจนโอกาสรวยก่อนอายุ 30 วางกองอยู่ตรงหน้า แค่หาเงินไปโปะหนี้ให้หมดก็สบายยาว แต่แล้วทุกอย่างกลับเจ๊งยับเพียงชั่วข้ามคืน เมื่อต้องแบกรับหนี้หลายสิบล้านทั้งที่ธุรกิจพังไม่เป็นท่า วินหอบข้าวของกลับบ้านที่ต่างจังหวัดและมีโอกาสพาแม่ไปทำบุญที่วัด จังหวะนั้นเขาก็บังเอิญค้นพบโอกาสทางธุรกิจที่จะช่วยพวกเขาปลดหนี้ก้อนใหญ่ได้ โดยที่ไม่รู้ว่ามันจะเลยเถิด พาพวกเขาถลำลึกไปสู่จุดเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาเอง

โอกาสที่ว่าคือการพึ่งทางธรรม แต่มันไม่ใช่ความคิดโลกสวยแบบที่ว่าจะไปบวชหนีหนี้หรือเข้าวัดให้จิตใจสงบหรอกนะ มันคือการอาศัยช่องโหว่ของการตรวจสอบทางกฎหมาย หาเงินจากความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของเพื่อนร่วมชาติ เพราะการทำบุญไม่มีใครบังคับใครได้ มันคืออำนาจของความศรัทธาที่บันดาลให้เงินตราไหลมาเทมาเข้าสู่ “วัด” พวกเขาจึงสรรหาวิธีทางโลกทุกอย่างให้เข้าถึงและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากทางธรรม ปลุกปั้นวัดไม่ค่อยดังที่เคยเงียบเหงาไร้ผู้คนเข้ามาทำบุญให้กลายเป็นแหล่งทำเงินแห่งใหม่ กระพือทุกสิ่งอย่างที่สร้างศรัทธาเพื่อเรียกคนเข้ามาทำบุญ พูดง่าย ๆ ก็คือหาประโยชน์จากจิตศรัทธาของชาวบ้าน หลอกใช้พระ ปั้นวัดที่เคยเป็นแหล่งที่พึ่งทางใจให้กลายเป็นธุรกิจ
หลังจากที่ดูจบ 9 อีพีใน 3 คืน (ก็คนมันต้องหลับต้องนอนเนอะ) อย่างแรกที่ประทับใจคือ การที่เขาพยายายเกลี่ยบทเรื่องราวส่วนตัวของตัวละครหลักทั้ง 3 แบบเท่า ๆ กันเวลาที่ 3 คนนี้ไม่ได้อยู่พร้อมหน้า ไม่มีใครหายไม่มีใครจม นักแสดงสบทบอื่น ๆ ที่มีบทบาทในเรื่องก็สนับสนุนกันดีเลยทีเดียว ส่วนตัวเรื่องที่นำไปผูกโยงกับศาสนา ไม่มีอะไรจะพูดให้มากความ เพราะเห็นด้วยกับทุกคนที่บอกว่าทำถึง แต่อาจรู้สึกแตกต่างกับคนอื่นนิดหน่อยที่ตอนจบเรื่อง ส่วนตัวไม่ติดที่เรื่องถูกตัดจบด้วยปลายเปิดแบบไม่มีบทสรุปแบบนั้น ไม่ติดด้วยถ้าจะไม่มีภาคต่อ เข้าใจได้ว่าเขาอาจอยากสร้างตำนานให้คนยังขบคิดและสงสัยไปเรื่อย ๆ ว่าสรุปมันยังไงแน่ ทว่าถ้ามีภาคต่อ ก็รอดูแน่นอน
อีกอย่างที่ประทับใจ ก็คือตัวซีรีส์มันบอกเล่าได้ครอบคลุมปัญหาชวนเอ๊ะทุกเรื่องในวงการศาสนา ถ้าให้นั่งไล่ยิบย่อยตลอด 9 อีพีก็มีเหนื่อย และที่สำคัญ คือการที่มันมีสายใยบาง ๆ ที่เหนียวแน่นเกี่ยวโยงไปที่แวดวงการเมืองและวงการยุติธรรม ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเกี่ยวข้องกับทุกวงการนั่นแหละ ซึ่งอีพีจบได้เฉลยทุกอย่างที่เราสงสัยเอง ว่าทำไมสิ่งที่ 3 คนนี้ทำมันถึงราบรื่นขนาดนั้น มีปัญหาก็จริง แต่มันเป็นปัญหาที่มีปัจจัยที่คุมไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องตั้งมากขนาดนั้นแต่ก็ยังผ่านมาได้อย่างราบรื่น จะว่า 3 คนนี้ทำบาปขึ้นก็คงไม่ใช่ เพราะเนื้อแท้ทั้ง 3 คนไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ทุกคนทำเพื่อต้องการเอาตัวรอด จนกระทั่งทุกอย่างกระจ่างในตอนจบ!
ไม่รู้เหรอ คนไทยหิวบุญขนาดไหน

ป๊าด! ในฐานะหญิงไทยคนหนึ่งที่เดินเข้าวัดเป็นประจำ (ใช่! วัดเป็นทางผ่านไปที่ทำงาน เดินในวัดรู้สึกปลอดภัยกว่าเดินข้างนอก) รู้สึกล่อกแล่กอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะตอนที่ได้ยินคำพูดนี้จากในซีรีส์ตั้งแต่เปิดเรื่องขึ้นมา แต่ไม่ได้รู้สึกแบบถูกหยามที่โดนตราหน้าเป็นคนหิวบุญนะ ออกแนวพิจารณาตัวเองมากกว่าว่าความถี่ในการทำบุญแบบนาน ๆ ครั้งของตัวเองเนี่ย มันเรียกว่าหิวบุญได้ไหม คือถ้าถามว่าชีวิตนี้ทำบุญบ้างไหม ตอบอย่างมั่นใจเลยว่า ทำว้อย! ใส่บาตรในวันเกิดรอบนึง ใส่บาตรวันครบรอบวันตายยายรอบนึง ใส่บาตรตอนวันครบรอบวันตายปู่รอบนึง หลัก ๆ ก็ประมาณนี้ แต่ถ้าช่วงไหนพอมีเงินเหลือหรือรู้สึกว่าชีวิตไม่ค่อยดี กำลังอยากได้ข่าวดี ก็จะไปใส่บาตรเพิ่มอีกซักรอบสองรอบ
ดูจากสถิติในการทำบุญของตัวเองที่ประมาณ 5 ครั้งต่อปีไม่เกินนี้ เลยไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรว่าตัวเองจะเข้าข่ายเป็นคนหิวบุญแบบที่วินพูดกับตำรวจหรือเปล่า แต่คิดว่าน่าจะเป็นคนไทยจำนวนหนึ่งที่ถูกกันไว้ให้เป็นข้อยกเว้นแหละ 555 ซึ่งที่เอามาเล่าให้ฟังเนี่ยไม่ได้จะมาแสดงความภาคภูมิใจว่าตัวเองเป็นคนทำบุญน้อย หรือจะพยายามจะนิยามตัวเองว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ฝักใฝ่ในเรื่องของศาสนาหรอกนะ แค่อยากชี้ให้เห็นว่าคำว่า “หิวบุญ” ที่มองมาจากดาวเนปจูนยังรู้เลยว่าความหมายมันเชิงลบสุด ๆ มักใช้ในกรณีเสียดสี ค่อนขอด เหน็บแนม มันใช้กับคนแบบข้าพเจ้าไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าไม่ได้กระหายที่จะทำบุญขนาดนั้น คือทำเท่าที่ตัวเองอยากทำ ทำเท่าที่ตัวเองมี และทำด้วยใจที่ศรัทธาเสมอ

การทำบุญแต่ละครั้ง ถึงจะนาน ๆ ทำครั้งก็เถอะ แต่ก็ทำด้วยจิตใจที่อยากทำเสมอนะ ทำด้วยศรัทธาเรื่องการให้ ศรัทธาเรื่องทำดีแล้วจะมีความสุข และไม่ได้มองว่าตัวเองจะต้องได้บุญแบบบุญหล่นทับ หรือทำดีแล้วต้องได้ดี เราทำเพราะอยากทำ แล้วก็เราอยากทำเท่านี้ มีให้ทำแค่นี้ ก็ทำเท่าที่ตัวเองรู้สึกว่าตัวเองจะไม่เดือดร้อน ไม่ทุกข์ ไม่มีคำถามกับตัวเองทีหลัง ทำแต่ละทีก็เน้นง่ายไว้ก่อน ถือคติว่าจะไม่ทำให้ตัวเองรู้สึกทุกข์ไม่งั้นบาป ฟังสวดนิดหน่อย แล้วก็ใส่บาตรง่าย ๆ ด้วยกับข้าวที่หาซื้อเอาแถวนั้น เพราะไม่มีปัญญาทำเอง อ้อ! นี่เข้าไปใส่บาตรในวัดนะ ไม่กล้าใส่ให้พระที่บิณฑบาตข้างร้านข้าวตอน 8-9 โมงเช้า ด้วยรู้ว่าตัวเองจะกลับมาคิดเยอะคิดมากไม่สบายใจ เสร็จแล้วกรวดน้ำ แวะไปหยอดตู้ทำบุญการศึกษา ทำบุญศพไร้ญาติ กราบพระสักหน่อย เสร็จก็กลับ การทำบุญของเรามีเท่านี้จริง ๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “หิวบุญ” ที่ตัวละครวินพยายามจะสื่อหรอกนะ คือถ้าซื่อบื้อสุด ๆ จนไม่รับรู้ข้อเท็จจริงที่มีอยู่จริงในสังคมจากข่าวสารเลย ดูจากประเด็นที่ซีรีส์นำเสนอก็เห็นได้ชัดแล้ว ถึงความหิวบุญของคนบางกลุ่มที่มันล้นแล้วล้นอีก จนนำมาซึ่งไอเดียในการทำธุรกิจของวินบนโมเดลพุทธพาณิชย์ เพื่อหาเงินก้อนโตไปใช้หนี้ คิดดูสิ ว่าเด็กรุ่นใหม่วัย 25 ปีแบบแก๊ง 3 เกลอเนี่ย ยังถอดรหัสโมเดลธุรกิจศาสนาจนเดินหน้าทำเรื่องที่มันใหญ่เกินตัวขนาดนั้น แปลว่าจริง ๆ แล้วธุรกิจวัดมันไม่ใช่เรื่องเข้าใจยากหรือเป็นความลับอะไรเลย แค่ลองมองด้วยใจที่ไม่อคติ รู้จักตั้งคำถามบ้าง ก็น่าจะเข้าใจไม่ยากว่า “หิวบุญ” มันทำให้คนในแวดวงธุรกิจนี้ “อิ่ม” มานักต่อนัก

แต่ถ้าการทำบุญแบบเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนตัวอย่างที่ปรากฏในซีรีส์มันทำให้พวกเขาสบายใจขึ้นก็ทำไปเถอะ ยังไงซะคนเหล่านี้ก็เน้นความสบายใจหลังทำบุญ โดยไม่หันไปมองพื้นฐานชีวิตปัจจุบันของตัวเองอยู่แล้วว่ากำลังเจอเอฟเฟกต์จากการทำบุญแบบคนหิวบุญมากน้อยแค่ไหน หวังสร้างบุญไว้ในชาติภพหน้าที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า แต่เลือกที่จะตัดตอนชีวิตปัจจุบันของตัวเองให้แย่ลง ถ้าสบายใจก็ทำไปค่ะใครจะห้ามได้ แต่ช่วยเปิดหูเปิดตารับความจริงหน่อย ว่าบุญที่ตัวเองโหมทำไปเพื่อแลกความสุขทางใจ แท้จริงแล้วสภาพที่จับต้องได้ของมันก็คือเม็ดเงินและผลประโยชน์ของคนที่อยู่ “เหนือกว่า” บนห่วงโซ่อาหาร
กูจะพาพวกมึงมาดู Business model ที่ดำเนินการมายาวนานต่อเนื่องกว่า 2,000 ปี เราจะมาทำวัดกัน
ก่อนอื่นขอชื่นชมคนเขียนบทละคร โดยเฉพาะในส่วนของบทสนทนาที่ออกมาจากปากตัวละครวิน คือมันมีความเรียล เป็นธรรมชาติมาก ฟังแล้วไม่ได้ดูประดิษฐ์ ด้วยมันเป็นคำพูดลักษณะแบบที่คนใช้พูดกันจริง ๆ ในชีวิตประจำวันเวลาที่นั่งจับเข่าเมาต์มอยวิจารณ์สถานการณ์บ้านเมือง ในขณะเดียวกันก็สอดแทรกข้อเท็จจริงที่เราก็รับรู้ได้เองจากการเสพข่าวอยู่แทบทุกวัน (แทบไม่มีวันไหนเลยที่ไม่มีข่าวเกี่ยวกับพระสงฆ์ วัด และพระพุทธศาสนา) และเมื่อมันออกมาจากปากของคนแบบวินที่เป็นเหมือนมันสมองของกลุ่ม ท่าทีการพูดจาแบบคนฉลาดที่พูดน้อย จะไม่เปิดปากพูดถ้าไม่จำเป็นต้องพูด พูดเร็ว น้ำเสียงโมโนโทนไร้อารมณ์ มันก็ยิ่งทำให้บทสนทนาดูน่าสนใจมากขึ้นไปอีก

ที่ต้องเอ่ยชื่นชมคนเขียนบทที่ออกแบบคำพูดคำจาของตัวละครวิน ก็เพราะรู้สึกว่าคำพูดแต่ละคำที่ยากที่จะหลุดออกมาจากปากวินนั้น มันผ่านการคิดของตัวละครมาแล้วว่าจำเป็นต้องพูด มันเลยมีแต่คำพูดจึก ๆ จึ้ง ๆ ฟังแล้วจั๊กจี๋หูคนคลั่งศาสนาแบบไม่ลืมหูลืมตา พวกที่ไม่เปิดใจรับความจริงที่มันเกิดขึ้นจริง ๆ ซึ่งน้อยคนนักที่จะกล้านำมาตีแผ่ตั้งโต๊ะแฉแบบซีรีส์เรื่องนี้ที่จัดหนักจัดเต็มไปเลยถึง 9 ตอน และอาจจะมีภาคต่อด้วยในอนาคต
ส่วนตัวมองว่าถ้าซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้ถูกสร้างโดย Netflix คือทำออกมาในลักษณะหนังโรงที่ต้องผ่านกองเซ็นเซอร์ ผ่านการตรวจสอบนู่นนี่นั่น มันน่าจะไม่ผ่านเอา และต้องโดนแบนแน่ ๆ โดยจะต้องมีหน่วยงานหนึ่งที่อ้างว่ามีบทบาทสำคัญในการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา ออกมาเต้นเร่า ๆ ว่าซีรีส์เรื่องนี้บ่อนทำลายพระพุทธศาสนา มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม บิดเบือน สร้างความเข้าใจผิดต่อประชาชน แต่ไม่ยักกะทำอะไรกับข้อเท็จจริงที่ตัวหนังหยิบมาเป็นวัตถุดิบเลยสักนิด จากนั้นก็จะมีคนคลั่งกลุ่มหนึ่งออกมาตามด่าคนสร้างซีรีส์ ด่านักแสดงที่รับเล่นซีรีส์ว่ารับงานแบบนี้ได้ยังไง สมัครใจเป็นพวกมารศาสนา ย้ำยีศาสนาและความเชื่อความศรัทธาของคนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาชัด ๆ (คุ้น ๆ ไหม)

ก็อย่างว่าแหละ คนคลั่งที่จะออกมาโวยวายรับไม่ได้ที่วงการพระพุทธศาสนาถูกแฉ คือคนที่เต้นตามหน่วยงานนั้นแหละ ไม่เคยที่จะเปิดดูด้วยซ้ำ เขาบอกว่าไม่ดีก็คงจะไม่ดีจริง ๆ งั้นด่าเลยแล้วกัน หรือเอาจริง ๆ ก็ไม่กล้าที่ะเปิดดูซีรีส์เรื่องนี้ด้วยซ้ำ เพราะมีทัศนคติที่คับแคบ ไม่ยอมรับความจริง ปฏิเสธชุดความรู้ใหม่ และเชื่อว่าสิ่งที่ทำอยู่มันดีแล้วถูกแล้ว หรือต่อให้ลองเปิดใจดูก็น่าจะทนดูได้ไม่จบ เพราะขัดใจอยู่ตลอด ยิ่งถ้าเอาชุดความคิดว่าวัดเป็นการทำธุรกิจอย่างหนึ่งที่มีเงินหมุนเวียนมหาศาล มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ใส่ลงไปให้พวกเขาเสพ พวกเขาก็จะยิ่งเดือดที่พระพุทธศาสนาถูกย่ำยี
ทั้งที่ความจริง สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็เป็นแบบที่วินพูดกับเพื่อนนั่นแหละ ว่าวัดเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ ในแง่ของการหยั่งรากลึกในการสร้างรายได้มานานกว่า 2,000 ปี จนวินต้องยกย่องให้เป็น Business model เลยทีเดียว จริง ๆ แล้วแรก ๆ วัดก็น่าจะเป็นแค่ศาสนสถานสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และที่อยู่จำพรรษาของนักบวชอย่างพระสงฆ์เท่านั้น แต่พอกาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป ความอีรุงตุงนังในชีวิตทำให้ชาวบ้านหันหน้าไปใช้พระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งมากขึ้น มันจึงมาพร้อมกับเม็ดเงินที่ “ผู้บริโภคเต็มใจจ่ายในราคาที่ตัวเองจ่ายไหว” แต่การทำบุญยิ่งทำก็ยิ่งสบายใจ ยิ่งมีความสุข ยิ่งเพิ่มพูนบุญ มันกลายเป็นความโลภบุญเพื่ออยากให้ชีวิตตัวเองเปลี่ยน อยากสบายใจมาก ๆ อยากได้บุญเยอะ ๆ ดังนั้น ต่อให้จ่ายไม่ไหวก็จะหามาจ่ายให้ได้ในที่สุด ราคาบุญเลยยิ่งแพง

สุดท้าย มันเลยย้อนกลับไปที่คำพูดของวินตอนที่เสนอโปรเจกต์นี้กับเพื่อน ที่ว่าใคร ๆ ก็รู้ว่าวัดได้เงินเยอะก็จริง ประเด็นก็คือทุกคนรู้ แต่มันไม่มีใครมาตรวจสอบแบบจริง ๆ จัง ๆ หรอกว่าแต่ละวัดหาเงินมาได้ยังไง หาเงินมาได้เท่าไร แล้วเอาเงินไปใช้อะไรบ้าง ถึงแม้ว่าจะมีระบบที่บอกว่ามีการตรวจสอบ แต่การตรวจสอบจริง ๆ จะมีกี่ที่ นอกจากนี้ หากใครสักคนตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมา มักจะถูกเบรกว่า “อย่าคิดแบบนั้น มันจะบาป” การขู่ด้วยการสิ่งที่เรียกว่า “บาป” จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงไว้ซึ่งรากฐานที่แข็งแรงของธุรกิจวัด
ถ้าเราอยู่กับตัวเองให้เป็น เราก็จะอยู่กับความเหงานี้ได้นะ คนเรา บอกว่ารักตัวเอง แต่ก็ทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ ต้องคอยแสวงหาคนอื่น หาสิ่งอื่นเข้ามาเติมเต็ม

มาปิดท้ายกันด้วยคำสอนจึ้ง ๆ น่าเลื่อมใส (อันนี้พูดจริง ไม่แซะ) ของคนที่บวชปุ๊บเป็นพระปั๊บ เอ้ย! พระดลดีกว่า คือจะบอกพี่ปั๊บเล่นเป็นพระดีมากจริง ๆ นะ ดีจนแบบว่าหรือพี่แกจะค้นพบเส้นทางของตัวเองแล้ว 555 นับเป็นอีกตัวละครที่คนเขียนบททำการบ้านมาดีว่าจะต้องให้พระพูดอะไรบ้าง นี่ขนาดว่าปกติไม่ค่อยจะอินกับคำพระคำเจ้าเท่าไร ปกติอินแต่คำพูดหมอดู 555 แต่พอคำสอนนี้ออกมาจากปากหลวงพี่ดล คนที่ทำให้เราเชื่อได้ว่าเป็นพระจริง ๆ ก็ชวนให้รู้สึกเลื่อมใสและศรัทธาขึ้นได้ แบบที่ตัวละครเกมฟังหลวงพี่ดลเทศน์แล้วนั่งขนลุกนั่นแหละ
หรืออาจจะเป็นเพราะตัวเราเองก็ค้นพบความสุขแบบในคำสอนของหลวงพี่ดลก็ได้นะเลยทำให้รู้สึกอิน การอยู่คนเดียว ทำไมมันถึงจะไม่รู้สึกเหงาล่ะ เหงาสิ! แต่ความเหงามันรับมือง่ายกว่าการที่ต้องมาเจ็บปวดหรือเสียใจเพราะการมีใครอีกคนเข้ามาวุ่นวายในชีวิตเยอะ แค่วุ่นวายกับตัวเองก็วายปวงจะแย่ จะหาภาระมาเพิ่มให้หนักอีกทำไม ที่สำคัญ ความเหงาอะนะ ถ้าเราอยู่กับตัวเองเป็น รู้จักตัวเองดีพอ เราจะรู้เลยว่ามันมีวิธีการมากมายที่จะทำให้เราเลิกโฟกัสกับความเหงา หลายคนมันสายบ้างาน ก็หมกมุ่นอยู่กับงานจนไม่มีเวลามาเหงา สายเที่ยว การออกเที่ยวแม้จะไปคนเดียวแต่มันก็ไม่ได้แย่ เห็นนั้นเห็นนี่ก็สนุก ได้เจอผู้คนเยอะแยะเอาอะไรมาเหงา สายชิล ก็ดูหนังฟังเพลงอ่านหนังสือไปสิ ถ้าเริ่มขี้เกียจก็แค่นอนไป หลับไปจะรู้สึกเหงาอะไร

คำสอนของหลวงพี่ดล ท่อนแรกน่ะสอนจริง แต่ท่อนหลังเนี่ยออกแนวแซะ 555 ไม่หรอก คำสอนของพระพุทธศาสนาส่วนใหญ่จะสอนแบบชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่แล้วไม่ต้องไปไขปริศนาเพิ่ม คำสอนไม่ใช่ปริศนาธรรม ไม่ต้องไปค้นหาคำตอบอะไรเพิ่มเติม แค่ค้นพบตัวเองให้เจอก็พอ อย่างที่หลวงพี่บอก ว่าคนเราบอกว่ารักตัวเอง แต่ก็ทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ ต้องคอยแสวงหาคนอื่น หาสิ่งอื่นเข้ามาเติมเต็ม คือมันก็จริงอะ เพราะคนที่รักตัวเองคือคนที่มีความสุขได้ด้วยตัวของเขาเอง จะทำหรือไม่ทำอะไรก็เพราะความสุขของตัวเอง เขาจะไม่แสวงหาคนอื่นมาร่วมตัดสินใจกับความสุขของเขา ไม่เอาความสุขตัวเองไปผูกกับใคร เติมเต็มสิ่งที่ขาดด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปแสวงหาจากที่อื่น
ที่ตัดสินใจเลือกหยิบคำสอนนี้ขึ้นมา นอกจากจะอินเองแล้ว จริง ๆ มันยังค่อนข้างเกี่ยวกับพล็อตหลักของซีรีส์เรื่องนี้ด้วยนะถ้าลองพิจารณาดี ๆ แก๊ง 3 เกลอที่ตัดสินใจเลือกวัดเป็นแหล่งปั๊มเงินของตัวเอง เพราะมองเห็นโอกาสจากการที่คนจำนวนมากหันหน้าพึ่งพาวัดเพราะความทุกข์โศกของตัวเองและต้องการหลุดพ้นความทุกข์นั้น ตามมาด้วยการทำบุญ วินตั้งคำถามกับเกม ว่าคนประเทศนี้เวลาเครียดหรือมีปัญหา จะไปหาจิตแพทย์หรือไปวัดมากกว่ากัน โดนชงมาแบบนั้น ก็ต้องตอบว่าวัดอยู่แล้ว เพราะเข้าวัดราคาถูกกว่าไปหาหมอและเข้าถึงง่ายกว่าโรงพยาบาล ทั้งที่ความจริง ปัญหาบางอย่างมันเริ่มจัดการได้ที่การหันมารักตัวเอง พิจารณาตัวเองให้ได้และเปลี่ยนความคิด แต่คนเราคิดเองไม่ออก ต้องไปฟังพระเทศน์ถึงจะดวงตาเห็นธรรม สุดท้ายก็กลับมาปฏิบัติด้วยตัวเองอยู่ดี แต่…ก็เสียเงินทำบุญไปแล้ว!

บอกเลยว่าจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ดูซีรีส์ไทยแล้วรู้สึกว่าถูกจริตมันคือเมื่อไร มีแต่พอดูได้ไม่แย่อย่างที่คิด แต่กับซีรีส์เรื่องนี้ ส่วนตัวมองว่าทำถึงจริง ๆ แต่ละประเด็นที่หยิบยกขึ้นมา รู้สึกถึงการรีรันซ้ำจากข่าวฉาวในวงการพระพุทธศาสนาที่เราเคยเสพมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน แอบติดใจนิดหน่อยว่าจริง ๆ แต่ละประเด็นมันขยี้ได้มากกว่านี้ จึ้งได้มากกว่านี้ เอาให้จุกกันไปข้าง ชนิดที่หน่วยงานหนึ่งมาเปิดดูแล้วต้องออกมางอแงหน้าสื่อไปเลยยิ่งดี มันถึงจะมีความหวังว่าปัญหาจะได้ถูกสนใจถูกแก้ (มั้ง) ไม่งั้นก็จะหลับหูหลับตาทำไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป ไล่ทำแต่เรื่องไม่มีสาระกับชาวบ้าน ทว่าดันไม่เคยออกมาดิ้นเวลามีเรื่องอื้อฉาวในวงการศาสนา นั่นน่ะเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาโดยตรงนะหล่อน 🛕





























