Twinkling Watermelon หนุ่มน้อยย้อนเวลาไปเป็น “เพื่อนกับพ่อตัวเอง”

ภาพจาก FB: tvN drama

เวลาที่เจอละครชื่อแปลก ๆ ความรู้สึกแรกของทุกคนเป็นยังไงกันเหรอ? แบบว่าอะไรอะน่าสนใจไหนขอดูหน่อยซิ! หรือแอบอคติในใจว่าชื่อเรื่องอะไรวะคะเนี่ย ตั้งชื่อเรื่องแบบนี้จะสื่อถึงอะไร! ขอยอมรับเลยว่านี่เป็นคนประเภทหลังที่เอ๊ะแล้วแอบอคติในใจ ส่วนจะดูหรือจะข้ามต้องอาศัยปัจจัยแวดล้อม ถ้าเปิดโซเชียลมีเดียผ่าน ๆ แล้วเห็นคนพูดถึงเยอะก็จะลองเสี่ยงดู แต่ถ้าไม่ค่อยเห็นรีวิวอะไรเลยก็คงจะข้ามไป ช่วงนี้ยิ่งข้ามซีรีส์ได้ง่าย ๆ ซะด้วย

Twinkling Watermelon คือซีรีส์ใหม่อีกเรื่องที่แอบอคติชื่อเรื่องตั้งแต่แรกที่เห็น อะไรวะคะ? มีแตงโมด้วย แล้วไม่ใช่แตงโมธรรมดาด้วยนะ แต่เป็นแตงโมประกายวิบวับ โอ๊ย! หัวจะปวด 555 ลองพยายามเดาทางซีรีส์เล่น ๆ ก็เดาไม่ออกว่ามันจะไปเกี่ยวกับแตงโมตรงไหน จนกระทั่งไปอ่านเจอมาว่าซีรีส์เรื่องนี้มีแรงบันดาลมาจากงานศิลปะภาพแตงโมที่ชื่อว่า ‘Viva La Vida’ ที่มีความหมาย “ไชโย ชีวิต” ของจิตรกรชื่อดังชาวเม็กซิโก ฟริดา กาห์โล (Frida Kahlo) โดยเธอเป็นตำนานสู้ชีวิต ที่ก้าวข้ามจุดด้อยของชีวิต มีพลังกล้าฝัน และประสบความสำเร็จ จนได้ Viva La Vida

ภาพจาก FB: tvN drama

เอาล่ะ นี่เป็นอีกหนึ่งบทเรียนว่าอย่าตัดสินซีรีส์จากชื่อ และอย่าตัดสินอะไรที่ตัวเองยังไม่รู้จริง ลองเปิดดูก่อนค่อยตัดสินใจ ผลปรากฏว่านี่ฉันเกือบจะพลาดซีรีส์ดี ๆ ไปซะแล้ว Twinkling Watermelon เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีพ่อแม่และพี่ชายเป็นคนหูหนวก แต่เขากลับเป็นคนเดียวในบ้านที่ได้ยินเสียงและพูดได้ ทำให้เขากลายเป็น “เทวดา” ของครอบครัวมาโดยตลอด เป็นเสียงที่เชื่อมโยงโลกที่เงียบงันของทุกคนในบ้านเข้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยเสียงมากมาย และทั้ง ๆ ที่เกิดจากพ่อแม่ซึ่งมีความบกพร่องทางการได้ยิน เขากลับเป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีชนิดหาตัวจับยาก ซึ่งเขาได้ฝึกเล่นดนตรีโดยบังเอิญจากเจ้าของร้านเครื่องดนตรี VIVA Music

ความรักและตัวตนของเขาคือดนตรี แต่มันสวนทางกับความต้องการของพ่อแม่ที่พร้อมจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อเขา ด้วยความที่เขาเป็นสิ่งที่โชคดีที่สุดในครอบครัว ในวันที่เขาทะเลาะกับพ่อเรื่องนี้ เขาก็ได้ก้าวข้ามสู่ความแฟนตาซี ทะลุประตูของมิติเวลาข้ามมาในช่วงเวลาอดีต ที่นั่นเขากลับเจอพ่อของเขาในวัยที่ไล่เลี่ยกันกับเขาในตอนนี้ โชคชะตาส่งเขากลับไปหาพ่อแม่ตัวเองในอดีตทำไม (เฉลยแล้วคนในอดีตเป็นใครบ้างในปัจจุบัน) เพื่อที่จะได้มีโอกาสเรียนรู้ สานฝัน ค้นพบ และเติบโตก้าวพ้นวัยไปด้วยกันกับมิตรภาพใหม่ที่เป็นพ่อของเขาเอง อย่างนั้นหรือ?

พี่ชายผมหูหนวก พ่อแม่ผมก็หูหนวกเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้หูหนวก ผมได้ยินเสียง ผมพูดได้

จริง ๆ มันก็เป็นแค่ข้อความเปิดเรื่องที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งใช้แนะนำตัวเองและครอบครัวแบบคร่าว ๆ ใช่ไหมล่ะ แต่คนดูอย่างเราสามารถสัมผัสความรู้สึกบางอย่างของผู้พูดจากข้อความข้างต้นได้ว่าเขารู้สึกยังไง (นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องเรียนเรื่องการตีความและทำข้อสอบวิชาภาษาไทยที่ชอบถามว่าผู้พูดรู้สึกอย่างไร) สามารถสัมผัสได้เลยว่ามันเป็นข้อความที่แฝงไปด้วยความรู้สึกผิดอยู่หน่อย ๆ รู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ได้ยินเสียง เป็นคนเดียวในครอบครัวที่พูดได้ เป็นคนเดียวในครอบครัวที่ไม่ใช่ผู้พิการ และเป็นคนเดียวที่แตกต่างจากทุกคนในครอบครัว มีในสิ่งที่คนอื่นในครอบครัวไม่มี ถึงอย่างนั้น มันก็มีน้ำเสียงภาคภูมิใจอยู่เหมือนกันที่ได้เป็นที่พึ่งของทุกคนในครอบครัว

ภาพจาก FB: tvN drama

ความรู้สึกผิดนี้กัดกินใจพระเอกของเราเรื่อยมา ยิ่งการที่เขาเคยถามพ่อว่าถ้าตัวเขากับพี่ชายตกอยู่ในอันตรายพร้อมกันทั้งคู่ พ่อจะเลือกช่วยใครก่อน คำตอบของพ่อจะย้อนกลับมาทำให้เขาปวดใจทุกครั้ง เพราะมันทำให้เขาต้องระลึกตัวเองอยู่เสมอว่าตัวเองสำคัญกับครอบครัวที่ทุกคนไม่ได้ยินและพูดไม่ได้มากแค่ไหน ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาแบกรับหน้าที่เทวดาของครอบครัว เป็นเสียงเชื่อมโยงโลกทั้งใบให้กับพ่อแม่พี่ที่หูหนวก มีชีวิตแบบที่ต้องอุทิศให้เป็นรางวัลของพ่อแม่ เป็นความหวังเพื่อทดแทนในสิ่งที่พ่อแม่ขาดหาย หน้าที่ที่ยิ่งใหญ่นี้ยิ่งทำให้ตัวเขาไม่กล้าที่จะฝันหรือทำในสิ่งที่ตัวเองรัก การทำให้พ่อแม่ที่ด้อยกว่าคนอื่น ๆ อยู่แล้วเสียใจหรือผิดหวัง จะเป็นสิ่งที่เขาจะไม่มีวันทำเด็ดขาด

ภาพจาก FB: tvN drama

แต่คนเราที่มีชีวิตมีจิตใจเหมือนกัน จะเป็นเดอะแบกให้คนอื่นตลอดไปไม่ได้หรอก คนเราย่อมอยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง อย่างน้อยก็ชั่วเสี้ยววินาทีที่จะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและค้นพบความสุขของตัวเอง และเขาก็ค้นพบว่าดนตรีคือสิ่งที่ทำให้เขามีตัวตนอื่นนอกเหนือจากการเป็นเทวดาของพ่อแม่พี่ และทำให้เขามีความสุขทุกครั้งเวลาที่ได้อยู่กับดนตรี ทว่าความรู้สึกผิดต่อครอบครัวก็ยังคอยติดตามเขาไปเสมอ ขนาดที่ว่าตัวเองอยากเล่นดนตรีมาก ยังต้องปิดที่บ้านแล้วแอบพ่อแม่ไปเล่น เพราะรู้สึกผิดที่ตัวเองเล่นดนตรีได้อยู่คนเดียว

ต้องบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้เข้าใจเอาปมมาเล่นเนอะ แบบว่าถ้าคนหูหนวกจะใช้ชีวิตปกติเหมือนคนปกติธรรมดา พวกเขาก็สามารถทำได้แทบทุกอย่าง อาจจะลำบากหน่อยตรงที่สื่อสารแบบปิดจบด้วยตัวเองไม่ได้เวลาคุยกับคนปกติ ต้องหวังพึ่งล่ามที่อ่านภาษามือได้ แต่ก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดนั้นมา ขนาดพี่ชายพระเอกที่หูหนวกเหมือนกัน ยังกลายเป็นนักกีฬาเทควันโดที่เตรียมคัดตัวเข้าทีมชาติเลย พวกเขาใช้ชีวิตแบบคนปกติธรรมดาได้ทุกอย่าง แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่คนหูหนวกอย่างพวกเขาทำไม่ได้ คือการเล่นดนตรี เพราะพวกเขาไม่ได้ยินเสียงที่ไพเราะเหล่านั้นเลย

ภาพจาก FB: tvN drama

และตอนนี้มันก็ได้กลายมาเป็นปมใหญ่ของเรื่อง ที่ว่าลูกชายคนเล็กซึ่งเป็นเดอะแบกของบ้าน และเป็นคนเดียวที่หูไม่หนวกกลับรักดนตรี รักในสิ่งที่สมาชิกในบ้านไม่มีวันรู้จัก แถมพ่วงด้วยความรู้สึกผิดที่ตัวเองเล่นดนตรีที่แสนไพเราะนี้ได้เพียงคนเดียว เมื่อสิ่งที่เขารักและอยากเป็นในอนาคตมันสวนทางกับความคาดหวังของพ่อแม่ แถมยังเป็นเพียงเรื่องเดียวที่พ่อแม่จะไม่มีวันเข้าใจ น่าติดตามมากว่าเรื่องมันจะไปจบที่ตรงไหน

ถ้าผมสร้างปัญหา คนจะด่าพ่อแม่ผมครับ ว่าเลี้ยงลูกไม่ได้ดีเพราะพิการ พ่อแม่ผมหูหนวกทั้งคู่ เวลาผมทำผิด คนจะใจร้ายกับพ่อแม่เป็นสองเท่า ผมเลยต้องทำตัวดี ๆ

นอกจากการเป็นเดอะแบกของบ้านแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เด็กตัวเล็ก ๆ ต้องแบกรับไว้ทั้งหมด คือการที่เขาไม่สามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้เลย แม้ว่าจะเป็นเพียงการป้องกันตัวเองก็ตาม จะเห็นว่าในช่วงต้น ๆ ของเรื่อง สมัยที่เขายังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ เขาถูกแก๊งเพื่อนในห้อง ซึ่งมีลูกชายของเจ้าของบ้านเป็นหัวโจกกลั่นแกล้งสารพัด แต่เขาทำได้แค่เพียงกัดฟันอดทน และต้องยอมเท่าที่ยอมได้ให้ทุกเรื่องมันจบลงที่เขา สู้กลับเพื่อปกป้องตัวเองยังไม่ได้เลย เพราะถ้ามันกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา พ่อแม่ของเขาจะถูกตราหน้าว่าเลี้ยงลูกไม่ดีทันที และข้อบกพร่องเรื่องความพิการหูหนวก ก็จะถูกหยิบยกขึ้นมาเหยียดหยามบั่นทอนจิตใจว่าไม่มีปัญญาอบรมสั่งสอนลูกให้ได้ดี

ภาพจาก FB: tvN drama

เรื่องที่เด็กคนหนึ่งต้องอดทนแบกรับอะไรแบบนี้ก็เรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องก็คือ ทำไมพวกคนปกติบางคนถึงได้ใจร้ายกับคนพิการได้ขนาดนั้น ประเด็นนี้ซีรีส์ไม่ได้พูดเกินจริงอะไรเลย เพราะบนโลกนี้มันมีจริง ๆ นะ มนุษย์ประเภทที่ไม่เคยเห็นอกเห็นใจคนอื่น ไม่เคยมีน้ำใจกับคนอื่น เห็นแก่ตัว ชอบเอาเปรียบ ไม่เคยมีมนุษยธรรมอะไรกับใครแม้กระทั่งกับคนพิการ คือไม่ต้องถึงขั้นไปเห็นใจ หรือคอยช่วยเหลืออะไรพวกเขาก็ได้ แค่มองด้วยสายตาที่ว่าพวกเขาก็เป็นคนเหมือนกัน ยังคาดหวังสูงไปจากคนพวกนี้เลย

มนุษย์เรามีอยู่เยอะ คนขี้แพ้ที่มีดีสู้คนที่แขนขาเท่ากันกับตัวเองไม่ได้ เลยพยายามจะหาทางเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่าตัวเอง ใช้จุดบกพร่องของคนไม่มีทางสู้เล่นงานตัวเขา ซีรีส์เรื่องนี้พยายามสอดแทรกข้อเท็จจริงเหล่านี้เข้ามาเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าการพยายามจะมีชีวิตอยู่ของผู้พิการไม่ใช่เรื่องง่ายในสังคมเลย โดยเฉพาะสังคมที่มีคนปกติสามารถเอาเปรียบและรังแกคนไม่มีทางสู้ได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นฉากที่คนขายผักเอาผักเหี่ยว ๆ ที่เหลือจากที่คนอื่นเขาไม่เอามาหลอกขายให้ ฉากที่ป้าเจ้าของบ้านให้ลูกชายตัวเองมาตีซี้กับพระเอกที่หูไม่หนวกแค่คนเดียว และมีแผนชั่ว ๆ ให้พระเอกทำ หรือฉากที่พ่อพระเอกนั่งอวดลูก ๆ กับกลุ่มคนที่เคยดูถูกตัวเองตอนล้มเหลว

ภาพจาก FB: tvN drama

รวมถึงที่พระเอกพูดออกมาเองว่าพ่อแม่จะโดนด่าว่าเป็นคนพิการแล้วยังไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกให้ได้ดี หากเขาสร้างปัญหา หรือเวลาที่เขาทำอะไรผิด ผู้คนจะใจร้ายกับพ่อแม่ของเขาเป็นสองเท่า มันแสดงให้เห็นว่าเขารับรู้มาโดยตลอดว่าพ่อแม่ที่พิการของเขาจะถูกคนใจร้ายใส่อย่างน้อยหนึ่งเท่าแล้วในสถานการณ์ปกติ และเมื่อไรที่มีเรื่องให้เหยียบซ้ำได้ อย่างเรื่องที่เขาไม่ใช่คนพิการ และการเลี้ยงลูกเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของคนเป็นพ่อเป็นแม่ แค่เขาขยับตัวทำอะไรผิดพลาดหน่อย (หรืออาจจะไม่ผิดเลยก็ตาม แค่ไม่ถูกใจ) พ่อแม่ของเขาจะถูกใจร้ายใส่มากกว่าเดิม เขาจึงต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว ทำตัวไม่มีปากมีเสียง เพื่อไม่ให้ใครมาด่าพ่อแม่ได้ แม้แต่ความต้องการของตัวเองก็ต้องพับเก็บไป

ไม่ว่าผมจะเลือกทางไหน ก็ปวดใจกับอีกทางที่ไม่ได้เลือกอยู่ดี

ในที่สุด ก็มาถึงจุดที่แรงขับของวัยรุ่นที่อยากจะมีตัวตนในแบบที่ตัวเองต้องการ สามารถเอาชนะความกดดันที่ต้องแสดงเป็นตัวตนในแบบที่พ่อแม่คาดหวังได้แล้ว ทั้งที่เรื่องเดินมาถึงแค่อีพีที่ 2 เท่านั้นเอง คือมันเป็นจุดที่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งถึงคราวระเบิดออกมา ซึ่งมันก็น่าเห็นใจจริง ๆ ที่ผ่านมาเขาต้องคอยปิดบังความฝันและความรักในดนตรีของตัวเองเพื่อทำในสิ่งที่พ่อแม่ที่พิการของเขาจะภาคภูมิใจ เขาเตือนตัวเองมาตลอดว่าการที่พ่อแม่เป็นคนพิการ มันก็เป็นเรื่องที่พวกเขาเสียใจพอแล้ว จึงพยายามที่จะเป็นความภาคภูมิใจให้พ่อแม่เพื่อเติมเต็มพวกเขา คนอื่น ๆ ที่เคยใจร้ายกับพ่อแม่ ใจร้ายกับพ่อแม่น้อยลง เพราะพ่อแม่มีลูกชายที่น่าอิจฉาถึง 2 คน แม้ว่าอีกคนหนึ่งจะหูหนวกแต่ก็ได้ดี

ภาพจาก FB: tvN drama

เขาเป็นเด็กชายที่มีชีวิตเป็นเดอะแบกและเป็นความหวังของทุกคนในบ้าน จากสิ่งที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด ที่ได้เป็น “เสียงที่เชื่อมโลกที่มีแต่เสียงเข้ากับโลกแห่งความเงียบ” ของพ่อแม่ ทุกวันนี้มันไม่เพียงพออีกต่อไป จากเดิมที่เขาพยายามรักษาสมดุล มีชีวิตที่ชวนให้ใจเต้น แอบหนีออกมาจากห้องอ่านหนังสือมาเล่นกีตาร์และร้องเพลงเป็นพัก ๆ ไปพร้อม ๆ กับใช้ชีวิตแบบที่จะเป็นรางวัลให้พ่อแม่ เป็นนักเรียนดีเด่นว่าที่หมอ แต่ตอนนี้เขาอยากจะเลือกมันสักทาง

ในวันที่พ่อรู้ความจริงว่าเขารักและอยากจะเป็นนักดนตรี กลายเป็นวันที่เขาปรี๊ดแตกพรั่งพรูความในใจทุกอย่างออกไปจนทำให้พ่อได้รู้ความจริงว่าที่ผ่านมาลูกคนนี้แบกรับความกดดันจากตัวเองที่อยากให้ลูกใช้ชีวิตเหมือนเครื่องหมายแห่งความภาคภูมิใจของพ่อแม่ มากกว่าที่จะได้ใช้ชีวิตของตัวเองมานานแค่ไหน เขาไม่อยากใช้ชีวิตเป็นรางวัลของพ่อ เขาไม่ใช่ล่ามของพ่อ เขาไม่ใช่สัญญาณเตือนไฟไหม้ เขาไม่ใช่เทวดา แต่เขาอยากเป็นตัวของเขาเองที่ได้เลือกในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำหรืออยากจะเป็น ทว่าสิ่งที่เขาผิดพลาดมากที่สุด คือการที่เขาพูดแรงกับพ่อเกินไปว่ายังไงพ่อก็ไม่ได้ยินเพลงของเขา เป็นการขยี้ปมด้อยของพ่อเข้าไปอีกว่าพ่อเป็นคนหูหนวก

ภาพจาก FB: tvN drama

จากเด็ก CODA (children of deaf adults) ที่แบกรับทุกอย่างของครอบครัวไว้ กับใจที่อยากแหกกฎ เดินตามความฝันที่สวนทางกับความคาดหวังของพ่อแม่ แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะทำเช่นนั้น ความรู้สึกผิดทำให้เขาคิดจะทำลายกีตาร์ทิ้ง แต่ก็มีเหตุให้เขาเปลี่ยนใจเป็นขายทิ้งแทน และจากความว้าวุ่นในใจทั้งหลายทั้งปวง จึงนำพาเขาย้อนเวลากลับไปสู่ปี 1995 สมัยที่พ่อของเขาก็เป็นแค่นักเรียนชั้นม.5 เท่านั้น และเขาก็ได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่พ่อแม่ไม่เคยบอกให้เขารู้มาก่อนก็คือ ในวัยมัธยมปลาย พ่อของเขาอยู่วงดนตรี ไม่ได้หูหนวก และพูดได้ปกติ ดูเหมือนว่าโชคชะตาคงส่งเขาไปเรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตของพ่อตัวเองที่เวลานี้ขัดขวางการเล่นดนตรีของเขาจนถึงที่สุด

ภาพจาก FB: tvN drama

ถ้าใครยังลังเลว่าจะดูดีไม่ดูดีกับซีรีส์เรื่อง Twinkling Watermelon ขอนั่งยันนอนยันว่าเลิกลังเลแล้วเปิดดูเลยเถอะ เพราะมันน่าสนใจมาก ประเด็นที่สื่อสารถึงการใช้ชีวิตของผู้ที่บกพร่องทางการได้ยินให้เข้ากับเรื่องของดนตรีซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ยิน เป็นเรื่องที่ชวนติดตามมากว่าอะไรเป็นยังไง โดยรวมสัมผัสได้ถึงความฟีลกู้ดและดีต่อใจ คิดว่าในพาร์ทที่พระเอกข้ามเวลามาเป็นเพื่อนกับพ่อตัวเองน่าจะมีช่วงที่ใส่เนื้อหาถึงความหมายของชีวิตลงไปเล่นด้วยพอสมควรเลย กลับมาโลกปัจจุบันเมื่อไรคงได้มีการตัดสินใจ รวมถึงการหาคำตอบว่าอะไรที่ทำให้พ่อพระเอกกลายเป็นคนหูหนวกและพูดไม่ได้ ผู้หญิงที่พ่อแอบรักอยู่ตอนนี้ไม่ใช่แม่ของเขา และทำไมต้องกีดกันเขาออกจากดนตรี🎼