ตกหลุมรักตามทฤษฎีสะพานแขวน เราจะรักกันเมื่อจิตใจไม่มั่นคง

ก่อนที่คนมีความรักทั้งหลายจะอยู่ในสภาวะของ “คนคลั่งรัก” ทุกคนย่อมเคยผ่านอาการแรกเริ่มรักอย่าง “ตกหลุมรัก” มาก่อน แต่เคยสงสัยบ้างไหมว่าอะไรที่ทำให้คนเรารู้สึกตกหลุมรักใครสักคนได้ขนาดนั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การตกหลุมรักไม่ใช่เรื่องของความรู้สึกทางใจเพียงอย่างเดียว แต่สามารถอธิบายได้ในทางจิตวิทยา โดยมีงานวิจัยที่พิสูจน์พบว่าจิตวิทยาสำคัญที่ทำให้คนเรารู้สึกตกหลุมรักหรือดึงดูดกันและกันเข้าหากันนั้น เกิดขึ้นมาจากความคล้ายคลึงกันของคนสองคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ความรู้สึกที่ใกล้ชิด ปลอดภัย สบายใจเวลาที่อยู่กับคนนี้ และยังรวมถึงสถานการณ์ที่ปลุกเร้าให้แรงดึงดูดทำงานมากกว่าปกติด้วย

ทฤษฎีสะพานแขวน เกิดความรู้สึกหวั่นไหวเมื่อจิตใจกำลังเผชิญอันตราย

หนึ่งในสถานการณ์ที่ปลุกเร้าให้แรงดึงดูดระหว่างคนสองคนทำงานมากขึ้นกว่าปกติ จนกระทั่งทำให้คนสองคนตกหลุมรักของกันและกัน คือสถานการณ์ที่สภาพจิตใจของคนทั้งคู่กำลังเผชิญกับอันตรายนั่นเอง การอยู่ในสภาวะที่จิตใจไม่มั่นคง ตื่นเต้น หัวใจเต้นแรง และฮอร์โมนอะดรีนาลีนที่ถูกหลั่งออกมาจากต่อมหมวกไต เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรารู้สึกตกหลุมรักใครสักคนตรงหน้าภายในเสี้ยววินาที แต่ท้ายที่สุดมันจะใช่ความรักจริง ๆ หรือไม่นั้น ต้องมีอะไรอีกหลายอย่างเป็นเครื่องพิสูจน์

ทฤษฎีสะพานแขวน หรือ Misattribution of Arousal เป็นการศึกษาเชิงจิตวิทยาของ ดร.โดนัล ดัตตัน และ ดร.อาเธอร์ แอรอน ที่ก็รู้สึกสงสัยแบบเรา ๆ นี่แหละว่าความรักเกิดขึ้นจากอะไร มีอะไรบ้างที่พอจะเป็นปัจจัยให้เราตกหลุมรัก และมันจะมีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะตกหลุมรักคนที่เผชิญสถานการณ์เสี่ยงตายมาด้วยกัน หรืออาจจะเป็นคนที่หยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้ในยามที่เรากำลังเข้าตาจน

ในปี 1974 ดร.โดนัล ดัตตัน และดร.อาเธอร์ แอรอน ซึ่งเป็นศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยาได้ทำการศึกษาเรื่อง Misattribution of Arousal (การแสดงที่ผิดพลาดของการเร้าอารมณ์) หรือ Capilano Suspension Bridge study (การทดลองสะพานแขวนคาปิลาโน) โดยมีกลุ่มทดลองเป็นผู้ชายที่อายุ 18-35 ปี และมีสถานที่ทดลอง 2 แห่ง แห่งแรกอยู่บนสะพานแขวนคาปิลาโน ที่ตั้งอยู่ในคาปิลาโนแคนยอน นอร์ทแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา เป็นสะพานแขวนเก่าแก่ที่สูงจากพื้นดินราว ๆ 70 เมตร และยาวถึง 137 เมตร ซึ่งสะพานจะแกว่งไปมาเมื่อมีลมพัดและสั่นไหวทุกย่างก้าวที่เดิน ส่วนอีกที่เป็นสะพานธรรมดาเตี้ย ๆ เหนือแม่น้ำ ที่ดูแข็งแรงและมั่นคงกว่าเยอะ

การทดลองดังกล่าวจะขอให้กลุ่มผู้ชายทั้ง 2 กลุ่ม ได้เดินข้ามสะพาน 1 ใน 2 สะพาน กลุ่มหนึ่งข้ามสะพานแขวน และอีกกลุ่มหนึ่งข้ามสะพานธรรมดา โดยที่ปลายสะพานจะมีผู้หญิงซึ่งเป็นผู้ช่วยวิจัย ยืนรออยู่เพื่อสอบถามอะไรบางอย่างเกี่ยวกับงานวิจัย เธอจะให้เขาตอบคำถามสั้น ๆ ซึ่งเป็นข้ออ้างที่จะทำให้กลุ่มทดลองได้อธิบายและแสดงความคิดเห็นของตัวเอง พร้อมทั้งมอบเบอร์โทรศัพท์ให้แก่พวกเขา เผื่อว่าผู้ชายในกลุ่มทดลองจะต้องการจะสอบถามอะไรเพิ่มเติมในภายหลัง

ผลการทดลองปรากฏออกมาอย่างชัดเจนว่ากลุ่มชายหนุ่มที่เดินบนสะพานแขวน มีแนวโน้มที่จะยอมรับเบอร์โทรศัพท์ของผู้หญิงและติดต่อกลับหาพวกเธอมากกว่ากลุ่มชายหนุ่มที่เดินบนสะพานธรรมดา ๆ ที่แข็งแรงถึง 4 เท่าตัว อธิบายได้ว่าจากเดิมที่ผู้ชายเห็นผู้หญิง เขาอาจจะสนใจเธออยู่แล้ว แต่พอมีสะพานแขวนที่แกว่งไปมาเป็นปัจจัยที่ทำให้หัวใจชายหนุ่มเต้นแรงมากขึ้นไปอีก พวกเขาก็อาจจะเข้าใจผิดว่าอาการใจสั่นเกิดขึ้นนั้น เป็นเพราะเขาตกหลุมรักผู้หญิงที่ปลายสะพาน หรือพูดง่าย ๆ ก็คือสมองของพวกเขาหลอกลวงให้เข้าใจว่าที่หัวใจเต้นแรงแบบเดียวกับเวลามีความรัก คืออาการตกหลุมรัก ทั้งที่อาการใจสั่นนั้นอาจเกิดขึ้นจากความหวาดเสียวตอนเดินบนสะพานที่ไม่มั่นคงก็ได้

เสี่ยงตายมาด้วยกันก็เลยตกหลุมรักกัน

จากการศึกษาทฤษฎีสะพานแขวน ชายหนุ่มกลุ่มที่เดินบนสะพานแขวนที่แกว่งไปมา ถูกสมองทำให้สับสนว่าอาการใจสั่นที่พวกเขาเป็น นั่นเป็นเพราะเขากำลังตกหลุมรักหญิงสาวที่รออยู่ที่ปลายสะพาน ทั้งที่ในความเป็นจริง พวกเขาอาจแค่รู้สึกตื่นเต้นหรือหวาดกลัวจากการที่เดินสะพานที่ไม่มั่นคงนั่นก็ได้ ในทำนองเดียวกันนี้ หากคนสองคนเผชิญหน้ากันในจังหวะที่ต่างฝ่ายต่างก็ใจตื่นเต้นเพราะหวาดเสียวจากการเดินสะพานที่แกว่งไปมาล่ะ พวกเขาก็อาจจะเข้าใจผิดไปได้ว่าที่หัวใจเต้นแรง เป็นเพราะเกิดตกหลุมรักอีกฝ่ายได้เหมือนกัน (แต่เปล่าเลย แค่กลัวสะพานเท่านั้น)

นี่จึงอธิบายปรากฎการณ์ที่ว่าทำไมคนเราจึงสามารถตกหลุมรักคนที่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เสี่ยงตายมาด้วยกันได้ และอาจรวมถึงคนที่เคยช่วยเราไว้จากสถานการณ์อันตรายเช่นกัน ซึ่งบางทีเราอาจจะเคยเจอคนผู้นี้แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่กลับรู้สึกตกหลุมรักอย่างจัง อธิบายก็คือ เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์ที่จิตใจไม่มั่นคง กำลังหวาดกลัว ตื่นเต้น หรือกำลังต่อสู้ หากมีใครสักคนยื่นมือเข้ามาช่วยให้เรารอดพ้นจากสถานการณ์อันตราย มีความเป็นได้สูงมาก ๆ ที่เราจะประทับใจคนผู้นั้น และตกหลุมรักเขาหรือเธอคนนั้นนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป

จิตวิทยานี้ถูกเรียกว่า “ทฤษฎีสะพานแขวน” เมื่อเราต้องเดินอยู่บนสะพานที่กำลังแกว่งอย่างแรง ขาสั่น ใจสั่น รู้สึกไม่มั่นคงเอามาก ๆ เมื่อมีใครก็ตามที่เข้ามาช่วยให้เรารู้สึกมั่นคงและปลอดภัยขึ้น เขาหรือเธอคนนั้นก็จะเหมือนกับผู้ช่วยชีวิตเราให้พ้นจากอันตรายเลยทีเดียว หากเรายืนแบบไม่มั่นคงอยู่บนสะพานแขวน แปลว่าอีกฝ่ายก็ต้องอยู่บนสะพานที่ไม่มั่นคงนี้เช่นเดียวกัน แม้ว่าจะเสี่ยงอันตรายเหมือนกันแต่เขาก็ยังช่วยเรา มันเลยยิ่งน่าประทับใจ และแปรเปลี่ยนเป็นความรักได้ นั่นทำให้เวลาที่เรารู้สึกเหมือนเพิ่งรอดตาย เราจะตกหลุมรักกันและกันง่ายขึ้น เพราะต่างคนต่างกำลังกลัว อารมณ์ร่วมที่เกิดขึ้นจนหัวใจเต้นโครมคราม แท้จริงมันอาจเป็นเพราะความกลัวตาย และเพิ่งรอดจากความตายเท่านั้น

ดังนั้น ทฤษฎีสะพานแขวนก็จะอธิบายการตกหลุมรักในช่วงที่สภาพจิตใจของคนเราไม่มั่นคงอย่างวิทยาศาสตร์ได้ ว่ามันเป็นการตอบสนองรูปแบบหนึ่งของร่างกายต่อฮอร์โมนอะดรีนาลีน ที่ร่างกายจะหลั่งออกมาเวลาที่รู้สึกตื่นเต้นหรือตกอยู่ช่วงคับขัน เราจะใจเต้นแรง ตื่นเต้น แต่เมื่อเราเงยหน้าขึ้นมาเจอใครสักคนหลังจากที่รู้สึกว่าตัวเองเพิ่งรอดจากอันตรายมาอย่างหวุดหวิด สมองจะประมวลผลว่าอาการใจเต้นแรงนั้นเกิดจากการตกหลุมรัก สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดจะยิ่งทำให้อะดรีนาลีนพลุ่งพล่าน จนเร้าการทำงานสมองของหนุ่มสาว และค่อย ๆ จูนหากันในที่สุด