
จะบอกว่ามันก็รู้สึกกดดันมากเหมือนกันนะเวลาที่มีเพื่อนมาถามว่าดูซีรีส์เรื่องนั้นเรื่องนี้หรือยัง เพราะเห็นว่าเราดูซีรีส์เขียนคอลัมน์อยู่ทุกสัปดาห์ พอบอกว่ายัง นางก็จะมาสำทับว่าต้องรีบไปดูนะ มันสนุกมาก จบด้วยคำพูดที่ว่า “ดูแล้วค่อยมาคุยกัน” คือ เข้าใจแล้วจ้าว่าต้องรีบดู แต่ให้เวลาเพื่อนนิดนึงได้ไหม เพื่อนก็มีงานการ มีงานบ้านต้องทำ มีอะไรอย่างอื่นต้องรับผิดชอบ เรื่องซีรีส์ก็มีคิวที่ต้องจัดลำดับเหมือนกัน ทุกอย่างต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปนะเพื่อนนะ

เหมือนซีรีส์เรื่อง Island ที่เพิ่งจะได้เริ่มต้นดูเมื่อวานนี่แหละ มาเริ่มต้นดูเอาในวันที่ซีรีส์ถูกปล่อยสตรีม 2 ตอนสุดท้าย (พาร์ทแรก) พอดี เรื่องนี้ปล่อยสตรีมลงใน Prime Video มาตั้งแต่ก่อนปีใหม่ แต่เพราะมีคิวเรื่องอื่นอยู่เลยต้องค่อย ๆ รันคิวมา แอบรู้สึกเขิน ๆ เหมือนกัน ที่เริ่มดูตอนแรกก็ได้เจอตอนจบพอดี แต่พอได้เริ่มดูจนจบตอนแรกเท่านั้นแหละ ต้องรีบเปิดตอน 2 ต่อทันที ไป ๆ มา ๆ ซีรีส์ความยาว 6 ตอน (ในพาร์ทแรก) ก็สามารถจบได้ในคืนเดียว แม้ว่าจะมีแอบงีบเอาแรงระหว่างตอน 3 กับตอน 4 และเก็บตอน 6 มาดูเมื่อเช้าเพราะปวดหัว แต่ดูจบปุ๊บก็เขียนงานปั๊บเลย ขอยืนยันอีกเสียงว่าสนุกมากจริง ๆ
Island เกาะปีศาจ สร้างจากเว็บตูน เป็นเรื่องราวการเล่าถึงเกาะเชจู ประเทศเกาหลีใต้ในมุมใหม่ ปกติเมื่อพูดถึงเกาะเรามักจะนึกถึงแต่ภาพของการไปเที่ยว ทะเล เล่นน้ำ ชายหาด ภูเขา โดยเฉพาะกับเกาะเชจูที่เป็นถึงมรดกโลกเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องปกติที่พื้นที่พวกนี้จะมีเรื่องเล่าท้องถิ่นที่ผูกโยงเข้ากับความแฟนตาซี เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ จึงกลายมาเป็นเกาะเชจูเวอร์ชันที่เล่าเรื่องราวของตำนานทัมนา ว่าเป็นเกาะที่มี “ปีศาจโลกีย์” ไล่เข่นฆ่ามนุษย์ไปทั่วมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว คนกลุ่มหนึ่งที่ถือว่าเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณจึงพยายามหาทางเอาชนะปีศาจ จนไปได้เด็กผู้ชายที่รอดตายจากการถูกปีศาจจู่โจม โดยเชื่อว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากพอจะจัดการกับปีศาจได้

อย่างไรก็ตาม มนุษย์ธรรมดาไม่อาจต่อกรกับปีศาจ เจ้าอาวาสวัดแทจังจึงต้องเปลี่ยนสภาพเด็กเหล่านี้ให้เป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจ จนได้เด็กที่เหลือรอดมา 2 คน พวกเขาเติบโตเป็นคนหนุ่มที่มีหน้าที่คอยกำจัดปีศาจไปตลอดกาล ปกป้องโลกเพื่อไม่ให้ถูกกลืนกินจนดับสูญ เนื่องจากปีศาจโลกีย์นี้อยู่คู่โลกมาตั้งแต่กำเนิดมนุษย์ มันจึงมีนัยยะถึงด้านมืดที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนมาแต่ไหนแต่ไร ฆ่าไม่ตาย และพร้อมจะออกมาเข่นฆ่ามนุษย์อีกครั้ง ในยุคที่จิตใจมนุษย์อ่อนแอต่ำทรามจนถูกครอบงำได้โดยง่าย
ถึงอย่างนั้น โลกก็ไม่ได้สิ้นหวังขนาดนั้น เพราะมีหญิงสาวคนหนึ่งที่มีชะตาเป็นผู้ช่วยให้รอดถือกำเนิดขึ้น เธอคือคนเดียวที่ปกป้องโลกนี้ได้ แต่เธอก็ต้องได้รับการปกป้องด้วยเช่นกันจนกว่าจะทำภารกิจสำเร็จ เพราะเธอต้องตกเป็นเป้าสังหารของเหล่าปีศาจที่ต้องการครองโลก เจ้าตัวเป็นสาวสมัยใหม่ ลูกคุณหนูจากเมืองหลวงที่ต้องมาเก็บตัวเงียบ ๆ ที่เกาะเชจูเนื่องจากไปก่อเรื่องไว้ คนประเภทที่มองว่าเรื่องปีศาจผีสางเป็นเรื่องไร้สาระและบ้าบอ จนกระทั่งเจอเข้าเองกับตัว ในขณะที่เธอเองก็ไม่รู้ตัวเรื่องชะตากรรมที่ตัวเองต้องแบกรับ

ฉะนั้น เรื่อง Island เกาะปีศาจ จึงผสมผสานความแฟนตาซี ระทึกและสยองขวัญ ภาพเสียงชวนหลอนชวนอี๋จนขวัญผวา เข้ากับความแอ็กชันบู๊ล้างผลาญชนิดระเบิดภูเขาเผากระท่อมได้อย่างลงตัว แถมมีเวย์ของการใช้ศรัทธาเรื่องพระเจ้าในการจัดการพวกปีศาจร้ายด้วย มีบาทหลวงหนุ่มหล่อแต่ปราบผีเก่งมากถูกส่งมาจากเมืองนอก มาร่วมแรงร่วมใจต่อสู้กำจัดเหล่าปีศาจโลกีย์ ความหนุ่มน้อย ความหล่อเหลา ความชิล ความชิค ถือไอแพดครอบหูฟังปราบผีมันช่างน่าเอ็นดู แถมยังมาช่วยตบมุกโบ๊ะบ๊ะแก้เครียดขัดกับช่วงที่หนีปีศาจจนความดันขึ้นได้เป็นอย่างดี
เราอยู่ในโลกที่มองกันแค่ผลลัพธ์ กระบวนการที่ล้มเหลวระหว่างนั้นเป็นได้แค่ข้อแก้ตัว
หากมองจากในซีรีส์เรื่องนี้ มันก็ค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้วที่ใช้ “ปีศาจ” เป็นภาพแทนของความชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวง ชอบพล็อตเรื่องแบบนี้นะ มันดูหาทำดี 555 นางเอกที่ภาพลักษณ์ภายนอกอาจจะดูเป็นสาวมั่น ลูกคุณหนูเอาแต่ใจ และสร้างเรื่องชวนปวดหัวให้คนอื่นตามล้างตามเช็ดเก่งไม่เว้นวัน แต่จริง ๆ แล้วจิตใจเธอไม่ใช่คนชั่วร้ายอะไรเลย คนที่คิดร้ายกับเธอยังหลอกล่อให้เธอแสดงด้านดีของตัวเองออกมา แต่สิ่งที่เธอทำเพื่อปกป้องตัวเองและคนของตัวเองกลับกลายเป็นหอกที่พุ่งมาแทงจากข้างหลัง สังคมตัดสินว่าเธอเป็นคนไม่ดี เพียงแค่เห็นภาพเดียวว่าเธอทำร้ายคนอื่น ทั้งที่เธอพยายามปกป้องตัวเองและคนของตัวเอง กระบวนการที่เกิดเรื่องคนไม่ได้วนใจ มีแค่ผลลัพธ์เท่านั้นที่คนเห็น

จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน นี่ก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่เคยรู้สึกหวาดกลัวกับเหตุการณ์ “โลกแตก” มาก แต่พอเวลาผ่านไป มีบ้างนาน ๆ ครั้งที่เริ่มจะเห็นด้วยกับมุกขำขันในโซเชียลมีเดียที่ว่า “โลกแตกได้ยัง!” ไม่รู้ว่าจะมีใครรู้สึกเหมือนกันไหมว่าโลกใบนี้มันเสื่อมทรามลงทุกวันในหลาย ๆ ด้าน มุมมองของคนที่อายุยังไม่ถึง 30 ที่ไม่ได้ใช้ความรู้สึกซึมเศร้าหรือหดหู่ส่วนตัวมองโลก แต่มองจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวันนี้จากหลาย ๆ พื้นที่บนโลกที่พอจะเข้าถึงข่าวสารข้อมูลได้ ก็ได้แต่ถอนหายใจยาว ๆ บ่นงึมงำกับตัวเองว่า “ถ้ามันจะขนาดนี้ ก็โลกแตกไปเลยเหอะ จะได้จบ ๆ ไป”
หลายคนน่าจะเคยได้ยินมานานหลายปีแล้ว เรื่องที่ว่า “ปี…เรากำลังอยู่ในโลกที่สนใจแค่ ‘ผลลัพธ์'” ซึ่งนี่ก็เข้าสู่ปี 2023 มา 2 สัปดาห์แล้ว มองรวม ๆ โลกใบนี้ก็ยังคงตัดสินกันด้วยผลลัพธ์เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือหลาย ๆ ครั้งก็น่ากลัวจนไร้ขอบเขตมากขึ้น และดูเหมือนว่าคนจำนวนไม่น้อยจะหมกมุ่นอยู่กับผลลัพธ์จนไม่สนใจกระบวนการใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีถูกมีผิด ไม่มีดีมีเลว จะใช้วิธีไหนก็ได้เอาตามที่สะดวก ขอแค่ได้ผลลัพธ์ออกมาน่าพึงพอใจ ต่อให้กระบวนการที่ได้มาจะชั่วช้าต่ำทรามแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องผิด ทำให้บางคนใช้กรอบความคิดลักษณะนี้มาสร้างความชอบธรรมในการกระทำของตัวเองมากเกินไป รู้ทั้งรู้ว่ากระบวนการมันผิด แต่ผลลัพธ์มันคุ้มค่า ก็ยอมทำได้ทุกอย่าง

ต้องบอกว่าเราสนใจกันที่ผลลัพธ์มากกว่าจะมองที่กระบวนการกันจริง ๆ นั่นแหละ ไม่สนหรอกว่ากระบวนการจะผิดจะถูกยังไง แค่เห็นผลลัพธ์ในแบบที่ต้องการก็พอ มันถึงได้มีคำพูดเปรียบเปรยจิกกัดไงว่า “โลกทุกวันนี้คนดีอยู่ยาก มีแต่คนที่อยู่เป็นเท่าแหละถึงจะรอด” ซึ่งไอ้การ “อยู่เป็น” เนี่ย ในความรู้สึกก็ไม่ได้มีความหมายในทางบวกสักเท่าไรด้วย แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะประสบการณ์กับความเสื่อมทรามของคนและสังคม สอนให้ได้รู้ว่าการเอาตัวรอดบางทีก็ต้องมีกระบวนการที่ใช้เล่ห์เหลี่ยม ต้องฉลาดแกมโกง ส่วนคนที่ซื่อ ๆ ดันกลายเป็นภัยให้โดนเอาเปรียบมากกว่า
เราตัดสินคนกันจากผลลัพธ์สุดท้ายที่เห็น แต่ไม่สนใจกระบวนการก่อนที่จะเกิดผลลัพธ์ เหมือนโควทคำพูดที่บอกว่า “อดทนมาเป็น 100 ครั้ง จนครั้งที่ 101 ทนไม่ไหว คุณกลายเป็นคนใจร้ายในสายตาคนอื่นทันที โดนด่าว่าทำไมไม่อดทน เพราะไม่มีใครรู้ว่าคุณอดทนอย่างเจ็บปวดมา 100 ครั้งแล้ว” หรือในอีกกรณี เวลาที่เห็นคนรวย เราจะยกย่อง มากกว่าจะสนใจว่าเงินของพวกเขามาจากไหน? เราจะเห็นแค่ผลลัพธ์ที่ผ่านการปรุงแต่งและคัดสรรเฉพาะความจริงที่คนรวยพวกนั้นอยากให้คนอื่นเห็น ซึ่งตัดความจริงที่ต้องการปกปิดออกไปแล้ว โดยลืมไปว่าความลับไม่มีในโลก และมันก็จะ “โป๊ะแตก” เข้าสักวัน

เรื่องของกระบวนการ ส่วนหนึ่งมากจากปัญหาการแยกแยะถูกผิดของคนมีปัญหา ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในจิตสำนึกมันสับสนปนเปไปหมด ความน่ากลัวของโลกใบนี้ก็คือ บางคนไม่เคยรู้ตัวเลยว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด และบางคนก็เรียกร้องความชอบธรรมโดยที่คิดว่ามันถูก ที่แย่กว่าคือมีคนพยายามจะให้กระบวนการผิด ๆ กลายเป็นเรื่องที่ถูกต้องและยอมรับได้ ถ้าผลลัพธ์มันงดงามมากพอ ซึ่งก็อย่างที่เห็นว่าคนทุกวันนี้ก็ตัดสินจากผลลัพธ์ที่งดงามเท่านั้นแหละ ถ้าผลลัพธ์มันงดงาม เดี๋ยวก็มีคนมาพยายามแก้ต่างกระบวนการผิด ๆ ให้เห็นแหละว่ามันไม่ผิด
จนกว่าจะถึงตอนนั้น ต้องอยู่ให้รอดนะ แม้ไม่อยากอยู่แล้ว ก็อดทนไว้นะ รอข้านะ ข้าสัญญา
บางที สิ่งเล็ก ๆ ที่สามารถเหนี่ยวรั้งให้คนคนหนึ่งยังใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้บนโลกที่เย็นชาและโหดร้าย ยังคงอดทนผ่านเรื่องเลวร้ายต่าง ๆ ที่พบเจอ ก็เป็นแค่ “คำสัญญา” เท่านั้น คำสัญญาเป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ ที่ทำให้คนเรามีความหวังที่จะรอคอยการมาถึงของอะไรบางอย่างที่ได้สัญญากันไว้ เพราะฉะนั้น คำสัญญาส่ง ๆ จากคนพูด สามารถทำร้ายคนฟังให้ตายทั้งเป็นได้เลย หากคำสัญญาที่ว่านั่นจะไม่เกิดขึ้นจริง พระนางเรื่องนี้มีสัญญาใจต่อกันในอดีต แต่มีเหตุน่าสลดเกิดขึ้น ทำให้ทั้งคู่ต้องแยกจากกัน และนางเอกกลับมาเกิดใหม่โดยที่จำพระเอกไม่ได้

“การสัญญา” เป็นการให้คำมั่น การรับปากว่าจะทำอะไรบางอย่างตามที่พูดเอาไว้ เป็นพันธะทางใจที่ทำให้เกิดความเชื่อมโยงกัน ซึ่งสัญญาที่มีผลต่อใจคนเรามาก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการสัญญาระหว่างตัวเราและคนอื่น และคนอื่นที่ว่าก็ต้องเป็นคนที่มีผลต่อความคิดและจิตใจของเราด้วย เราคงจะจดจำสัญญาไม่ได้หรือรู้สึกเจ็บปวดอะไรขนาดนั้นหรอก หากสัญญากับคนแปลกหน้า หรือคนที่ไม่ได้มีความรู้สึกใด ๆ ต่อกัน และหากคำสัญญาเหล่านั้นไม่เกิดขึ้นจริง มันจึงกลายเป็นการ “หักหลัง” กัน นำมาซึ่งความโกรธเกลียดเคียดแค้นได้ในที่สุด

เมื่อเกิดการสัญญาต่อกัน เราจะเอาใจของเราไปผูกกับสัญญานั้นไม่มากก็น้อย เราจะเริ่มคาดหวังให้ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างตัวเรากับอีกฝ่ายเป็นไปดังเช่นคำสัญญา ซึ่งมันก็ควรจะเป็นเช่นนี้แหละ เพราะจุดประสงค์ของการสัญญามันก็เพื่อการนี้อยู่แล้ว เป็นการทำข้อตกลงร่วมกันด้วยการรับปากว่าจะทำหรือจะให้ในสิ่งที่สัญญาไว้ ปกติแล้ว เรามักจะทำการสัญญาแค่กับคนที่เรารู้สึกสนิทสนมและไว้วางใจกันเท่านั้น หากรู้สึกว่าไว้ใจไม่ได้ก็จะไม่สัญญา เพราะมีความเสี่ยงที่สัญญาจะไม่เกิดขึ้นจริง แต่บ่อยครั้ง ที่เราก็เอาใจลงไปเสี่ยงเต็มที่ เดิมพันกับสัญญาที่ไม่มั่นใจว่าจะได้หรือไม่

เมื่อมีการผิดสัญญาเกิดขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่มันจะส่งผลกระทบต่อจิตใจของเรามหาศาล ยิ่งคู่สัญญาสนิทกับเรามากเท่าไร หรือเราไว้ใจเขามากขนาดไหน ก็จะทำให้ใจเรารู้สึกเจ็บปวดได้มากขึ้นเท่านั้น โดยความเจ็บปวดที่ว่า อาจแสดงออกด้วยน้ำตาที่หยดออกจากดวงตาด้วย ดังนั้น การไม่ทำตามสัญญา หรือการผิดสัญญา จึงไม่ใช่แค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วจบไปง่าย ๆ แต่มันจะกลายเป็นแผลในใจของคนที่รอให้คำสัญญาเป็นจริงมาโดยตลอด แม้บางคนจะไม่ได้แสดงอาการเศร้าหรือเสียใจให้เห็นเมื่อถูกผิดสัญญา แต่ก็ไม่ได้แปลว่าแผลนั้นไม่มีอยู่จริง
และเนื่องจากสัญญามันไม่ใช่แค่คำพูด แต่มันคือการเดิมพันทางใจที่มีโอกาสจะสมหวังหรือผิดหวังก็ได้ในทุก ๆ คำสัญญา สัญญาจึงไม่ควรจะเกิดขึ้นเพียงเพราะต้องการให้อีกฝ่ายเชื่อใจอย่างเด็ดขาด ใจคนไม่ใช่ของเล่น ทว่าในบางครั้ง การผิดสัญญาก็อาจะไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเห็นแก่ตัวเสมอไป มันอาจเกิดจากการเปลี่ยนใจกะทันหัน หรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันจนทำให้ทำตามสัญญาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อมันนำไปสู่ผลลัพธ์ คือ “การผิดสัญญา” ก็จะทำให้ความเชื่อใจต่อกันลดลง และความเจ็บปวดสามารถแปรเปลี่ยนเป็นความคับแค้นใจที่ต้องเอาคืนด้วย
รู้ไหมว่าอะไรที่เยียวยาบาดแผลได้ดีที่สุด “เวลา”
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า “เยียวยา” มันคือการ “ทำให้ดีขึ้น” เพราะฉะนั้น แผลที่เกิดขึ้นมันอาจจะ “หาย” หรือ “ไม่หาย” ก็ได้ เมื่อเวลาผ่านไปเราอาจจะ “ลืม” หรือ “ไม่ลืม” ก็ได้ แต่ทุกอย่างมันจะค่อย ๆ ดีขึ้นกว่าตอนที่ประสบเหตุอย่างแน่นอน ซึ่งมันอาจจะดีขึ้นแค่นิดเดียวก็ได้ แต่มันจะดีขึ้น และกลับมาใช้ชีวิตเพื่อตัวของตัวเอง ไม่ว่าคนทั้งโลกจะทำร้ายเรายังไง แต่เราต้องไม่ทำลายตัวเอง เพราะบาดแผลที่คนอื่นทำให้เจ็บปวดเด็ดขาด และการจะใช้เวลาเยียวยาบาดแผลได้ดีที่สุด ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเองทั้งนั้นว่าให้ความร่วมมือแค่ไหน

หากคนเรารักตัวเองมากพอ เราย่อมไม่ต้องการเห็นตัวเองจมอยู่กับความเจ็บปวดใด ๆ นานเกินไป คนเหล่านี้จะรีบดูแลบาดแผลของตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ก็ต้องรู้ก่อนว่าแผลของตัวเองมันลึกแค่ไหน จากนั้นก็คือการยอมรับมันให้ได้ ซึ่งมันอาจใช้เวลาสักระยะหรืออาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิต ก็ต้องค่อย ๆ ใช้เวลายอมรับความจริงไปโดยไม่ต้องฝืนตัวเอง

เพราะธรรมชาติของบาดแผลมันจะเยียวยาตัวมันเองได้เอง เราแค่ต้องอดทนต่อความเจ็บและรอเวลาให้กระบวนการเยียวยามันทำงาน บนโลกนี้ไม่มีใครที่มีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องอดทนต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรอก มันอาจจะต่างกันแค่มีเรื่องให้ต้องอดทนมากหรือน้อยเรื่องก็เท่านั้น การเยียวยาความเจ็บปวดก็เช่นกัน มันต้องอาศัยใจของเราเอง อาศัยเวลา และอาศัยความอดทนของเรา แรก ๆ มันอาจจะยาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจะเริ่มใช้ความอดทนน้อยลง จนในที่สุดก็ไม่ต้องใช้ความอดทนเข้าข่มอีกต่อไป เราจะกลับมาใช้ชีวิตอยู่ได้แบบปกติที่เราเคยเป็น ความทรงจำต่อความเจ็บปวดยังคงอยู่ แต่แผลมันไม่ได้เจ็บเหมือนแต่ก่อนแล้ว
ดังนั้น เราแค่เปิดใจ เข้าใจ ยอมรับในความจริง จากนั้นก็ปล่อยวาง แล้วบาดแผลทางควาทรู้สึกของเราจะค่อย ๆ เยียวยาความเจ็บปวดนั้นได้เอง แล้วสักวันเราจะกลับมาเฉย ๆ โดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดแบบตอนแรกอีกแล้ว เหลือเพียงแค่ความทรงจำที่กลายเป็นบทเรียนที่ดี ซึ่งบางทีเราอาจต้องขอบคุณมัน ที่มันทำให้เราเข้มแข็งขึ้นและมีภูมิคุ้มกันต่อเรื่องเลวร้ายต่าง ๆ ได้มากขึ้น บางเรื่อง ถ้าเราไม่เก็บมันมาใส่ใจเอง เราก็จะไม่เจ็บปวดอะไร

สุดท้ายนี้ คงต้องขออวยว่า Island เกาะปีศาจ เป็นซีรีส์ที่สนุกมากจริง ๆ ไม่ผิดหวังเลยเทบางเรื่องมาดู ให้ความสนุกในหลากหลายรสชาติ ชอบความที่เปลี่ยนบรรยากาศของเกาะเชจูที่ปกติเราจะเห็นแต่ในมุมที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่เต็มไปด้วยความสดใสมีชีวิตชีวา มาเป็นการเล่าเรื่องราวของเกาะในมุมมองใหม่ที่ใส่ความน่ากลัว ความหลอน ความสยองที่ชวนขวัญผวา และปมปริศนาลึกลับหลายอย่างที่ยังไม่เฉลยในซีรีส์พาร์ทแรก ใครที่ยังไม่ได้เริ่มดูควรรีบไปเคลียร์ให้จบก่อนที่เรื่องพาร์ทที่สองจะเริ่มสตรีมในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ แค่ 6 ตอนเอง ดูเพลิน ๆ คืนเดียวก็จบแล้ว🏝️