ถ้าให้พูดถึงงานศิลปะ ของแบบนี้ค่อนข้างเป็นรสนิยมส่วนตัวมากๆ เราไม่สามารถไปบังคับใครได้ว่าคุณต้องชอบแบบนี้ หรือแบบนี้แหละเรียกว่าสวย บางสิ่งที่เราบอกว่าดี หลายๆ คนอาจจะไม่ชอบมันเลยก็ได้
ย้อนไปถึงสมัยก่อนตั้งแต่ยุคเรอเนซองส์ ช่วงประมาณค.ศ.ที่ 1400 ความรุ่งเรืองทางศิลปะมีมาก ตระกูลรวยๆ มีจิตรกรประจำไว้เพื่อวาดรูปตามสั่ง ความเฟื่องฟูเหล่านี้พัฒนาไปสู่ความฟุ่มเฟือย (อย่างเช่นศิลปะแบบบาโรค รอคโคโค ที่เรียกได้ว่าฟุ่มเฟือย รายละเอียดเยอะเกินความจำเป็นไปมากกก) วันนึงเมื่อสิ่งเหล่านี้ถึงจุดอิ่มตัว ก็ต้องมีคนริเริ่มสิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ศิลปะไปได้ไกลกว่าการวาดรูปเหมือน และความไม่เพอร์เฟคทางศิลปะก็เกิดขึ้นหลังจากนั้น
(ทุกคนคงจะเคยได้ยิน Impressionism Art และ โคลด โมเนท์กันดี เขาเป็นคนที่ริเริ่มการทำศิลปะแบบเก็บความประทับใจ และไม่เน้นความเป็นเรียลลิสติก)
โคลด โมเนท์ ผู้สร้างความไม่เพอร์เฟคทางศิลปะ ที่โคตรจะมีเสน่ห์
คงไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อ Claude Monet (โคลด โมเนท์) ผู้นำลัทธิ Impressionism Art หรือลัทธิประทับใจ การที่เขาวาดภาพทิวทัศน์ต่างๆ ด้วยความรวดเร็วเพื่อเก็บความประทับใจนั้นโดยไม่เน้นความเพอร์เฟคแต่เน้นอารมณ์และทีแปรง หรือแม้แต่การวาดภาพสระบัวที่เดิมแต่คนละเวลา ก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันได้แล้ว เหมือนเป็นการเปิดโลกทางศิลปะว่า ไม่จำเป็นต้องเป๊ะๆ โครงสร้างตามตำราเรียนก็ได้นะ

ยังไม่รวมถึงลัทธิ Neo-Impressionsim กับ Post-Impressionism ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Impressionism และถูกพัฒนาต่อไปอีก กับศิลปินที่เราคุ้นหูกันดีอย่าง พอล โกแกง หรือวินเซนต์ แวน โก๊ะ
มาติส กับ “โฟวิสม์”

Henri Matisse (อองรี มาติส) คนที่ถ้าพูดถึงลัทธิ Fauvism (โฟวิสม์ ที่แปลว่าสัตว์ป่า) แล้วจะไม่คิดถึงไม่ได้ อีกหนึ่งศิลปินที่มีผลงานเด่นสะดุดตามากๆ และเป็นการเปิดโลกอีกอย่างด้วยการใช้สีสดที่ตัดกันเข้ามาใช้ในงานศิลปะ เช่นสีคู่ตรงข้ามอย่าง เขียว-แดง น้ำเงิน-ส้ม ที่ยากพอสมควรถ้าจะทำออกมาให้ดูดี เรียกได้ว่ามีความรุนแรงทางสีและทีแปรงเหมือนสัตว์ป่าตามชื่อลัทธิเลยก็ว่าได้
แถมงานของมาติสยังเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจให้กับคนเรียนศิลปะยุคนี้ได้เป็นอย่างดี คงเป็นเพราะสไตล์ที่เฉพาะตัว สีโดดเด่น ไม่เน้นที่โครงสร้างที่ถูกต้อง แต่จะเน้นไปที่อารมณ์ของภาพมากกว่า

Cubism (คิวบิสม์) ที่บางทีเกือบจะเป็นนามธรรม
ลัทธิที่พยายามจะหาสิ่งใหม่ๆ เพื่อเป็นเอกลัษณษ์เฉพาะตัว และแนวทางใหม่ให้กับวงการศิลปะ ศิลปินที่ได้ยินชื่อกันจนคุ้นนั่นก็คือ Pablo Picasso (ปาโบล ปิกัสโซ) ที่สร้างผลงานและสร้างชื่อไว้มาก โดยปิกัสโซก็มีทามไลน์ในการสร้างงานเหมือนกันนะ มีช่วงที่ผลงานบางอย่างดูไม่ออกจนเกือบเป็นนามธรรม และก็มีบางช่วงที่เป็นนิยามของคิวบิสม์ได้ดี

Expressionism และ Abstract Expressionism มีอะไรอยากระบายก็ปล่อยออกมา!
สองลัทธินี้เหมือนเป็นการระบายอารมณ์ ความอัดอั้นตันใจให้ออกมาเป็นงานศิลปะ บางงานอาจจะดูรุนแรง ดุดัน แต่มันก็เป็นเสน่ห์ของแต่ละคนที่ไม่ซ้ำใคร อาจจะทั้งสี รูปทรง
ภาพที่คุ้นเคยกันดีคงเป็น The Scream ที่ถีงจะเรียนหรือไม่เรียนศิลปะมาก็ต้องเคยเห็น หรือจะเป็น ม้าสีฟ้า ที่แสดงความเป็น Expressionism ออกมาได้ดีเหมือนกัน


Abstract Art นามธรรมที่รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นทางเลือกสำคัญในปัจจุบัน
การสร้างงานศิลปะนามธรรมดูเหมือนจะง่ายในสายตาคนทั่วไป แต่ในมุมมองของศิลปินสิ่งที่ทำออกมาล้วนมีความหมาย บางคนดัดแปรงมาจากสิ่งที่เป็นรูปร่าง บางคนจับแค่สีออกมา หรือบางคนก็แค่อยากระบายอารมณ์

ผลงานของ Wassily Kandinsky (วาซีลี คันดินสกี) ที่ถือว่าเป็นผู้นำในการสร้างงานแบบนามธรรม
จากลัทธิที่คนไม่ยอมรับมากที่สุด กลายมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีอิทธิพลที่สุดอีกทางในการทำงานศิลปะ และทำให้โลกพัฒนามาไกลเกินกฎเกณฑ์ต่างๆ
หลายๆ แบบทางศิลปะที่ยกมา ถ้าลองสังเกตดีๆ ทุกอย่างก็เริ่มจากการไม่ได้รับการยอมรับมาก่อนทั้งนั้น อาจจะเพราะความไม่เคยชินต่อความเปลี่ยนแปลง และไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนสิ่งที่คิดว่าดีอยู่แล้วเพื่อลองอะไรใหม่ๆ แต่เมื่อสังคมเริ่มเปิดรับความใหม่แ





























