สิ่งที่ต้องรู้ หากประสงค์อยากบริจาคร่างกายเป็น “อาจารย์ใหญ่”

เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว แทนที่จะปล่อยให้ร่างกายที่ไร้ลมหายใจสูญสลายหายไปจากโลกนี้แบบกลายเป็นปุ๋ยในดิน หรือกลายเป็นเถ้าถ่านอย่างไร้ประโยชน์ หลายคนจึงประสงค์ที่จะ “บริจาคร่างกาย” เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และช่วยเหลือผู้อื่น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถแสดงเจตจำนงของตนเองได้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทว่าต้องดำเนินเรื่องกับหน่วยงานที่ประสงค์จะยกร่างกายให้ให้เรียบร้อย และต้องแจ้งญาติไว้ด้วยเสมอ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นในภายหลัง

เนื่องจากร่างกายที่เสียชีวิตไปแล้วของคนเรา ยังมีอวัยวะที่สามารถนำไปต่อชีวิตให้ผู้อื่นได้มากถึง 8 ราย ด้วยอวัยวะอย่างหัวใจ ปอด ตับ ตับอ่อน ไต และลำไส้เล็ก นอกจากนี้ การบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษา ให้วงการแพทย์ได้นำไปใช้ประโยชน์ในการศึกษา วิจัย และการรักษาทางการแพทย์ ก็เป็นการให้ที่ได้บุญกุศลที่ใหญ่หลวงไม่แพ้กัน อย่างไรก็ตาม การอุทิศร่างกายเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ใช้ศึกษาจะต่างจากการบริจาคอวัยวะ เพราะเป็นการมอบทั้งร่างกายให้คณะแพทยศาสตร์นำไปศึกษานั่นเอง ซึ่งหลังจากนำร่างกายมาใช้ศึกษาเป็นเวลา 2-3 ปี ทางคณะแพทยศาสตร์ของโรงพยาบาลนั้น ๆ จะประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลให้กับอาจารย์ใหญ่ในภายหลัง

การบริจาคร่างกาย

การบริจาคร่างกายคือการอุทิศทั้งร่างกายให้นักศึกษาแพทย์ได้ใช้ศึกษา ผู้บริจาคเจ้าของร่างจะอยู่ในสถานะ “อาจารย์ใหญ่” ซึ่งหลังจากเสียชีวิต ญาติจะต้องแจ้งให้คณะแพทยศาสตร์ไปรับร่างภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนจุดประสงค์ของการบริจาคร่างกาย ก็เพื่อให้วงการแพทย์ได้นำไปใช้ประโยชน์ในการศึกษา วิจัย และการรักษาทางการแพทย์ ดังนั้น หากต้องการบริจาคร่างกายเพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่ ก็สามารถแสดงความจำนงได้ที่คณะแพทยศาสตร์ทุกแห่ง (มหาวิทยาลัยที่มีคณะแพทยศาสตร์) ซึ่งแต่ละแห่งจะมีเกณฑ์การรับอุทิศร่างกายแตกต่างกัน

แต่เป็นที่น่าตกใจว่าจากจำนวนผู้แสดงเจตจำนงบริจาคร่างกายหลักหมื่นรายต่อปีนั้น กลับมีร่างกายที่พร้อมสำหรับการใช้ศึกษาทางการแพทย์ของนักศึกษาแพทย์ หรือที่เรียกว่า “อาจารย์ใหญ่” ปีละไม่ถึง 300 รายเท่านั้น เหตุผลก็เพราะว่าศพของผู้เสียชีวิตที่จะนำมาใช้ในการศึกษานั้น จะต้องมีคุณสมบัติที่ตรงกับวัตถุประสงค์ของการศึกษาด้วย ซึ่งในการบริจาคร่างกาย ผู้แสดงเจตจำนงจะต้องระบุให้ชัดเจนว่าประสงค์อุทิศร่างกายเพื่อกรณีใด ดังนี้

  • เพื่อการศึกษากายวิภาคศาสตร์ของนิสิต นักศึกษาแพทย์
  • เพื่อการฝึกอบรมหัตถการต่าง ๆ และงานวิจัยทางการแพทย์
  • เพื่อการศึกษาของนักศึกษาด้านการแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุขอื่น ๆ
  • เพื่อเก็บเนื้อเยื่อบางส่วนสำหรับการรักษาทางการแพทย์
  • เพื่อให้แพทย์เฉพาะทางฝึกผ่าตัด
  • เพื่อเก็บโครงกระดูกเพื่อการศึกษา

เงื่อนไขในการเป็นอาจารย์ใหญ่

จากข้อมูลของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จำแนกการบริจาคร่างกายตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค ไว้ดังนีั

กรณีบริจาค ให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษา

  • ขณะเสียชีวิตอายุไม่เกิน 80 ปี
  • น้ำหนักตัวไม่ต่ำกว่า 40 กก.
  • ไม่เป็นศพที่เกี่ยวข้องกับคดีต่าง ๆ
  • ไม่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ, โรคมะเร็ง โรคไต และโรคเบาหวาน (โรคมะเร็ง อาจได้รับการอนุโลม โดยจะต้องไม่ใช่มะเร็งในระยะลุกลามที่ทำให้สูญเสียอวัยวะต่าง ๆ มากเกินไป มีการลุกลามอวัยวะบางส่วนได้ เนื่องจากอวัยวะส่วนอื่น ๆ ยังสามารถใช้เพื่อการเรียนการสอนได้)
  • ไม่ป่วยเป็นโรค HIV โรคตับอักเสบ และวัณโรค เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของโรคสู่อาจารย์ผู้สอนและผู้เรียน
  • ไม่เป็นศพที่มีสภาพไม่เหมาะสม อาทิ เน่าเปื่อย อวัยวะขาดหาย (ยกเว้นกรณีบริจาคดวงตา)

กรณีบริจาค ให้แพทย์เฉพาะทางฝึกผ่าตัด

  • ไม่เคยผ่าตัดบริเวณข้อต่อต่าง ๆ
  • หลังเสียชีวิต ญาติแจ้งให้เจ้าหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์ที่มารับศพทันที
  • ไม่ฉีดยารักษาศพ

กรณีบริจาค เก็บโครงกระดูกเพื่อการศึกษา

  • ขณะเสียชีวิตอายุไม่เกิน 55 ปี
  • ไม่ฉีดยารักษาศพ เพราะจะทำให้ไม่สามารถเก็บเป็นโครงกระดูกได้
  • ญาติสามารถนำอวัยวะบางส่วนของศพดองไปทำพิธีทางศาสนาได้

ต้องรู้! ไม่รับบริจาค หากศพอยู่นอกพื้นที่ที่กำหนด

อีกเงื่อนไขหนึ่งในการรับบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษา คือศพของผู้เสียชีวิตต้องอยู่ในพื้นที่หรือรัศมีการเดินทางที่คณะแพทยศาสตร์แต่ละแห่งกำหนดไว้ด้วย ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามแต่สถาบันการศึกษา ที่ต้องกำหนดเช่นนี้ เพราะมีเรื่องของ “ระยะเวลา” เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเมื่อคนเราเสียชีวิต ร่างกายจะค่อย ๆ เน่าเปื่อยลงตามธรรมชาติ หากอยู่ไกลเกินไปหรือต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางนาน สภาพศพอาจไม่สมบูรณ์มากพอที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้

อาทิ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล รับบริจาคร่างกายเฉพาะเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดต่อไปนี้ ได้แก่ สมุทรปราการ นนทบุุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นครปฐม สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี ราชบุรี และตอนที่เสียชีวิต ต้องอยู่ในพื้นที่รัศมี 100 กม. ขณะที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จะรับบริจาคร่างผู้เสียชีวิต เฉพาะผู้ที่เสียชีวิตในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล (สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร)

ส่วนมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ รับศพเฉพาะผู้ที่อยู่ในรัศมี 200-250 กิโลเมตร จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ ประสานมิตร และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น รับบริจาคร่างกายเฉพาะผู้ที่มีภูมิลำเนาและเสียชีวิตในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ขั้นตอนการบริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่

จากข้อมูลของสภากาชาดไทย ระบุว่าผู้มีความประสงค์อุทิศร่างกายสามารถยื่นความจำนงได้ 3 วิธี ได้แก่

  1. ยื่นความจำนงผ่านช่องทางออนไลน์ >> คลิกที่นี่
  2. ยื่นความจำนงโดยตรงที่ ศาลาทินฑัต โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยกรอกข้อความลงในแบบฟอร์มของโรงพยาลบาล 1 ฉบับ เจ้าหน้าที่จะออกบัตรประจำตัวผู้อุทิศร่างกายให้ไว้เป็นหลักฐาน
  3. ยื่นความจำนงทางไปรษณีย์ โดยกรอกข้อความลงในแบบฟอร์ม แล้วส่งมาทางไปรษณีย์ 1 ฉบับ เจ้าหน้าที่จะส่งบัตรประจำตัวผู้อุทิศร่างกายให้ภายหลังเมื่อผู้อุทิศร่างกายถึงแก่กรรม ทายาท มีสิทธิ์คัดค้านไม่มอบศพให้กับโรงพยาบาลได้โดยต้องแจ้งการคัดค้านไม่มอบศพกับโรงพยาบาลฯ ภายใน 24 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม กรณีที่ประสงค์จะอุทิศร่างกายแต่อายุยังไม่ถึง 18 ปี จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนในกรณีที่ผู้เสียชีวิตได้แจ้งความจำนงในการบริจาคร่างกายไว้ แต่ทายาทผู้รับมรดกไม่ยินยอม สามารถคัดค้านการมอบศพให้กับสถาบันนั้น ๆ ได้ โดยไม่มีความผิดทางกฎหมายแต่อย่างใด

ส่วนการบริจาคร่างกายกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ สามารถอ่านรายละเอียดได้ตามนี้ เช่น