น้ำใจในบ้าน ไม่จำเป็นต้องร้องขอ อยู่ด้วยกันต้องช่วยเหลือกัน!

สิ่งที่สามารถใช้วัด “ความมีน้ำใจต่อคนในบ้าน” ได้ดีที่สุด คงจะหนีไม่พ้น “งานบ้าน” เชื่อไหมว่าบางบ้าน มีสมาชิกบางคนในบ้านที่สามารถนั่งมองอีกคนทำงานบ้านได้โดยที่ไม่คิดจะเข้าไปช่วยเหลือ อาจจะคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเสียสละลงมือทำ ให้คนอื่นเสียสละทำไป รวมถึงไม่รู้สึกละอายใจอะไรที่จะสร้างงานเพิ่มให้อีกคนหนึ่งต้องมาคอยตามเก็บ เพราะไม่เคยต้องลงมือเองจึงไม่รู้ว่ามันเหนื่อยและน่ารำคาญใจแค่ไหนสำหรับคนที่ต้องทำ อยู่บ้านเดียวกันแต่ไม่มีน้ำใจจะช่วยเหลือกัน แบบนี้น่ะมีจริง ๆ นะ!

งานบ้านสำหรับใครหลายคน มันคืองานใหญ่ที่แค่นึกถึงก็เหนื่อยแล้ว งานที่ยิ่งทำก็ยิ่งเหนื่อย แต่จะไม่ทำเลยก็ไม่ได้เหมือนกัน เมื่อถึงจุดหนึ่งเราจะรู้สึกว่าไม่สามารถอยู่ในบ้านสภาพแบบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว ก็จำต้องลุกขึ้นมาจัดการทำความสะอาดในช่วงวันหยุดหรือช่วงเทศกาลที่หยุดยาวหลายวัน งานช้างจะเกิดขึ้นก็ตรงนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการทำงานบ้านคล้าย ๆ กัน คือ ถอนหายใจพร้อมทำหน้าเหยเก!

เอาเข้าจริง เรื่องของงานบ้านไม่ค่อยมีใครอยากจะลงมือทำเท่าไรนักหรอก เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นคนที่รักความสะอาดมากจริง ๆ ถ้ายังพอแหวก ๆ แล้วมีทางเดิน หน้าจอโทรทัศน์ไม่ได้มัวเพราะฝุ่นเกาะจนจำหน้านักแสดงสลับคน หรือสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ยังไม่อพยพเข้ามาอยู่ในบ้าน คนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะผัดวันประกันพรุ่งไปก่อน ไม่ก็เริ่มเกี่ยงกันว่าใครต้องเป็นคนทำความสะอาด ซึ่งบอกเลยว่าสำหรับหลาย ๆ บ้าน การทำงานบ้านไม่ได้ง่ายขนาดนั้น โดยเฉพาะกับคู่สามีภรรยา แม้กระทั่งบ้านที่มีลูกที่โตพอจะช่วยเหลืองานบ้านได้แล้ว เพราะงานบ้านจะกลายเป็นชนวนเหตุของการทะเลาะกันที่สร้างความร้าวฉานยืดเยื้อไม่จบสิ้น แถมยังกลายเป็นเรื้อรังที่อาจนำไปสู่การหย่าร้างได้ในที่สุดด้วย

จริง ๆ แล้ว การแก้ปัญหาเรื่องงานบ้านมีทางออกอยู่ไม่กี่ทาง หากคุณเป็นคนโสดที่อยู่บ้านคนเดียว คุณอาจจะต้องทำความสะอาดบ้านที่ตัวเองทำรกเองทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว หรือจะใช้เงินแก้ปัญหาด้วยการจ้างแม่บ้านที่มีบริการตามเพจเฟซบุ๊กหรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ เป็นเรื่องที่คุณพร้อมโอน แต่สำหรับบ้านที่อาศัยอยู่ด้วยกันหลายคน ก็อาจจะขอความร่วมมือให้ทุกคนในบ้านช่วยกันทำความสะอาดโดยแบ่งหน้าที่ของใครของมัน และเมื่อถึงช่วงบิ๊กคลีนนิ่งครั้งใหญ่ ก็จะใช้เวลาในช่วงวันหยุดที่ทุกคนอยู่บ้านกันพร้อมหน้าพร้อมตาช่วยกันทำ

งานบ้านเป็น “หน้าที่” ของผู้หญิง?

ปัญหาที่เกิดขึ้นมักจะเกิดจากการที่ชาย-หญิงเกี่ยงกันเรื่องงานบ้าน ส่วนใหญ่มักพบว่าเป็นฝ่ายชายที่ปฏิเสธที่จะช่วยทำงานบ้าน โดยอ้างอิงจากกรอบความคิดแบบโบราณว่า เรื่องงานบ้านและการเลี้ยงลูก เป็นหน้าที่ของผู้หญิง เนื่องจากเมื่อก่อนเพศหญิงไม่ได้มีโอกาสออกไปทำงานนอกบ้านมากเท่ากับทุกวันนี้ และผู้ชายจะเป็นฝ่ายทำงานนอกบ้านเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ดังนั้น ในเมื่อผู้หญิงอยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ จึงรับหน้าที่ทำงานบ้านไปโดยปริยายเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ชายที่ต้องทำงานนอกบ้าน

แต่ทุกวันนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ต้องออกไปทำงานนอกบ้านไม่ต่างจากผู้ชาย และแทบจะไม่มีเวลาได้อยู่ที่บ้านเพื่อตั้งหน้าตั้งตาทำงานบ้านอีกต่อไป อย่างไรก็ดี ผู้ชายบางส่วนก็ยังมองว่างานบ้านเป็นหน้าที่ของผู้หญิงอยู่ดี นั่นหมายความว่าสายตาของผู้ชายที่มีความคิดเช่นนี้ ผู้หญิงต้องทำงานทั้งนอกบ้านและในบ้านแบบเต็มเวลาคนเดียว เพราะงานบ้านเป็น “หน้าที่ของผู้หญิง” โดยที่ผู้ชายกลุ่มนี้สามารถนิ่งดูดายมองผู้หญิงทำงานทั้งนอกบ้านและในบ้านได้อย่างไม่รู้สึกอะไร เผลอ ๆ จะหางานให้ทำเพิ่มด้วยซ้ำ จากการที่แค่รับผิดชอบชีวิตตัวเองก็ยังทำไม่ได้

อยู่ด้วยกัน ชายคาเดียวกัน ของก็ใช้ด้วยกัน ก็ต้องช่วยกัน

ในเมื่อชาย-หญิงต่างก็ทำงานนอกบ้านด้วยกันทั้งคู่ ทั้งสองฝ่ายล้วนเหนื่อยมาจากข้างนอกแล้ว ดังนั้น ถ้าผู้หญิงจะต้องเหนื่อยกับงานบ้านเพิ่มขึ้นอีกก็คงจะไม่ยุติธรรมเท่าไรนัก เพราะพื้นที่ในบ้าน ข้าวของในบ้าน ก็ต่างใช้ด้วยกัน เหนื่อยงานนอกบ้านมาเหมือนกัน ทำไมผู้หญิงจึงต้องมาเหนื่อยเพิ่มอยู่คนเดียวในการรับผิดชอบพื้นที่และข้าวของที่ใช้ด้วยกัน แล้วมันก็เป็นธรรมดาที่คนเราเมื่อเหนื่อยมาก ๆ ก็จะเริ่มอารมณ์ไม่ดี เริ่มหงุดหงิด เมื่อนั้นก็จะเริ่มมีเสียงบ่น เริ่มใช้อารมณ์ จนในที่สุดก็นำไปสู่ความขัดแย้ง หนีไม่พ้นการทะเลาะกันบ้านแทบแตก

ดังนั้น จะดีกว่าหรือไม่หากการทำงานบ้านจะไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนในบ้านสามารถหยิบจับทำได้หมดเมื่อเห็นว่าสมควรที่จะต้องทำ เพราะเราอยู่บ้านหลังเดียวกัน พื้นที่ในบ้านและของใช้ต่าง ๆ ก็ใช้ด้วยกัน การจะปัดว่าเป็นหน้าที่ที่คนใดคนหนึ่งต้องรับผิดชอบเป็นเรื่องที่แสดงออกถึงความเห็นแก่ตัวและไม่มีน้ำใจในการอยู่ร่วมกัน และจะดีที่สุดหากเป็นฝ่ายเสนอตัวเพื่อช่วยเหลือด้วยเหตุผลว่าคนเราอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยเหลือกัน ไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายขอ ที่พอเหนื่อยมาก ๆ ก็จะเริ่มบ่น เริ่มใช้อารมณ์ จนกลายเป็นการทะเลาะกัน

งานบ้าน ไม่จำเป็นต้องนิยามว่าเป็นหน้าที่ใคร

อันดับแรก ผู้ชาย (บางคน) ต้องเลิกมองว่างานบ้านมีแค่ผู้หญิงเท่านั้นที่ทำได้ เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่หน้าที่ที่ตัวเองต้องทำ งานบ้านเป็นเรื่องน่าเบื่อที่ถ้าเลือกได้ใคร ๆ ก็ไม่ค่อยอยากจะทำ แต่ในเมื่อไม่ทำไม่ได้ ก็ควรช่วยเหลือกันจะดีกว่า เมื่อความหนักของงานบ้านถูกหารออกไปตามจำนวนสมาชิกที่สามารถช่วย ๆ กันทำให้เสร็จไป หยิบจับเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างสองอย่าง ความเหนื่อยของใครบางคนก็จะลดลง งานบ้านก็จะเสร็จเร็วขึ้น เมื่อเห็นสภาพบ้านที่น่าอยู่โดยไม่ต้องรอให้เป็นหน้าที่ในมือใครคนหนึ่งต้องทำอยู่เพียงคนเดียว ความสงบสุขในบ้านและสุขภาพจิตก็จะดีตามไปด้วย

ไม่ว่าใครในบ้านจะมีทำหน้าที่หลักในการดูแลงานบ้าน คนเหล่านี้ไม่ได้คาดหวังว่าสัดส่วนงานบ้านที่หารกันทำตามจำนวนสมาชิกที่ช่วยเหลืองานบ้านได้จะต้องเท่ากันเป๊ะ ๆ หรอก เพียงแค่ประสงค์ว่าจะช่วยเหลือ ช่วยแบ่งเบาออกไปบ้าง เพื่อที่งานบ้านทั้งหมดไม่ต้องอยู่ในมือของคนคนเดียว หรือให้ใครคนหนึ่งต้องมาเหนื่อยสองเท่าสามเท่า ถ้าเป็นงานบ้านที่ค่อนข้างหนัก จะเสนอตัวทำประจำเลยก็ได้ หากมีลูกก็เป็นการปลูกฝังให้เด็กช่วยทำงานบ้านตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งมันควรเป็นจิตสำนึกในการอยู่ร่วมกันที่ควรจะคิดเองได้ มากกว่าจะตราหน้าว่าเป็นหน้าที่ใคร

บ้านไม่ใช่เซฟโซน เมื่อลูกไม่อยากทำงานบ้านที่พ่อแม่ใช้ให้ทำ

เด็กหลายคนถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ เรื่องการช่วยเหลืองานในบ้าน ว่าอยู่ด้วยกัน อะไรที่ช่วยแบ่งเบาภาระกันได้ก็ควรช่วย ไม่ต้องมาตั้งแง่อะไร ส่วนใหญ่แล้วเด็กกลุ่มนี้จะสามารถทำงานบ้านได้เองโดยที่ไม่ต้องมีใครสั่งหรือไม่ต้องรอพ่อแม่ไหว้วานให้ทำ แต่ทำโดยคิดว่ามันเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งที่ทำให้บ้านสะอาดเรียบร้อย ในขณะที่เด็กอีกจำนวนไม่น้อยไม่ได้ถูกปลูกฝังเรื่องงานบ้านมาตั้งแต่เล็ก ซึ่งเมื่อโตแล้ว พ่อแม่เห็นว่าพอจะช่วยงานได้แล้วจึงไหว้วานให้ทำ แต่เพราะงานบ้านไม่เคยอยู่ในจิตใต้สำนึกมาก่อน เด็กกลุ่มนี้จะคิดว่าไม่ยุติธรรมที่ตัวเองถูกใช้ให้ทำงานบ้าน

นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมเราจึงเห็นเด็ก (โตแล้ว) และเยาวชนบางส่วน ชอบโพสต์บ่นเรื่องที่ถูกพ่อแม่ใช้ให้ทำงานบ้านบนโซเชียลมีเดียที่ตัวเองเล่น แม้ว่าจะเป็นงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างกวาดบ้าน ถูบ้าน หรือเป็นสิ่งที่ตัวเองเป็นคนทำไว้เองแต่ไม่รู้จักเก็บให้เรียบร้อย เช่น จานข้าวที่ตัวเองเป็นคนใช้แต่เอาไปวางทิ้งไว้ไม่ยอมล้าง ในทำนองว่า “บ้านไม่ใช่เซฟโซน” การที่ถูกใช้ให้ช่วยเหลืองานบ้านกลายเป็นเรื่องที่ไม่ปลอดภัย เป็นสิ่งที่พ่อแม่ไม่ควรที่จะทำกับลูกแบบนี้ รู้สึกเหมือนถูกบังคับจิตใจ และสามารถมองคนอื่นทำความสะอาดได้โดยไม่คิดที่จะช่วย

ให้งานบ้านเป็นกิจกรรมที่ครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกัน

งานบ้านเป็นกิจกรรมที่ชวนกันเหนื่อยอย่างแท้จริง เพราะการจัดบ้านแต่ละครั้งไม่เคยเป็นเรื่องเล็ก อีกทั้งมันยังเป็นกิจกรรมที่ค่อนข้างน่าเบื่อด้วย อย่างไรก็ดี การที่สมาชิกทุกคนได้ร่วมลงมือลงแรงทำความสะอาดบ้าน ก็ช่วยเปลี่ยนกิจกรรมที่แสนน่าเบื่อให้เป็นเรื่องสนุกได้ทันที หลังจากที่ช่วยกันจัดการทุกซอกทุกมุมเสร็จเรียบร้อย จะรู้ว่าผลลัพธ์ที่ได้มันคุ้มค่าแค่ไหน นอกจากจะได้บ้านสะอาด ๆ กลับคืนมาแล้ว ใจยังสัมผัสได้ถึงความอิ่มเอมอีกด้วย เพราะงานบ้าน มันไม่ควรเป็นหน้าที่เฉพาะของคนใดคนหนึ่ง เราอยู่ร่วมชายคาเดียวกันก็ควรจะช่วยกันทำมากกว่า

จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจำเป็นที่พ่อแม่จะต้องปลูกฝังให้เด็ก ๆ ช่วยเหลืองานบ้านตั้งแต่ยังเล็ก อาจเริ่มจากการลงมือทำเป็นตัวอย่างให้เห็น ขอให้ช่วยหยิบจับอะไรบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกครั้งที่เด็กเห็นพ่อแม่ทำงานบ้าน พวกเขาจะมีน้ำใจมาช่วยเหลือ หรือลองมอบหมายงานบ้านให้เหมาะกับวัย เริ่มจากวินัยในตัวเอง ให้จัดการรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองเป็นคนทำรกทำเลอะก่อน ให้ดูแลตัวเองให้ได้ เช่น พับผ้าห่มตัวเองหลังตืนนอน จานข้าวที่ตัวเองกิน ถุงเท้าที่ตัวเองใส่ แล้วสอนเรื่องน้ำใจที่จะทำเผื่อคนอื่น อย่างจานข้าวที่วางอยู่ในอ่างด้วยกัน ไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็เก็บล้างไปพร้อมกันเลย

การที่คนเราสามารถดูดายเห็นใครคนหนึ่งทำงานบ้านงก ๆ อยู่คนเดียวได้โดยไม่มีน้ำใจที่คิดจะช่วยเหลือ ก็ไม่ต่างอะไรจากการที่เห็นว่าคนผู้นั้นเป็นเหมือนคนรับใช้ในบ้าน งานที่ทำเท่าไรก็ไม่ได้มีรายได้เพิ่ม ทั้งที่คนผู้นั้นก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้านเหมือนกัน ดังนั้น งานบ้านไม่ใช่สิ่งที่ใครต้องอายหากคิดที่จะทำหรือรู้สึกแปลกที่ต้องทำ เราสามารถมีน้ำใจช่วยเหลือได้ เพราะถ้าอยู่ตัวคนเดียวก็ต้องทำเองอยู่ดี หรือถ้าไม่ทำเองก็ต้องใช้เงินแก้ปัญหาจ้างคนมาทำให้ แต่กับสมาชิกคนหนึ่งที่แบกหน้าที่ทำความสะอาดบ้านไว้ หน้าที่ที่ทุกคนโยนให้ กลับทำโดยไม่ได้รับค่าจ้างเลยสักสลึงเดียว!