Ant-Man and the Wasp – หนังครอบครัวฉบับ “มาร์เวล”

มาถึงหนังฮีโร่เรื่องสุดท้ายของ มาร์เวล ประจำปีนี้กันแล้วกับ Ant-Man and the Wasp ภาคต่อของ Ant-Man ซึ่งเป็นฮีโร่เซอร์ไพรส์ฮิตเมื่อปี 2015 ขณะเดียวกันแม้จะถูกวางสถานะเปรียบเสมือนหนังคั่นเวลาแบบที่ภาคแรกเป็น แต่เรื่องราวของมันก็น่าสนใจไม่น้อย เมื่อพวกเขากลับมานำเสนอเรื่องง่ายๆที่ มาร์เวล ไม่เคยทำมาก่อนนั่นคือ “สถาบันครอบครัว”

มนุษย์มดจอมพลัง กลับมารอบนี้เล่าเรื่องราวต่อจากเหตุการณ์ใน Civil War ปี 2016 เมื่อ สกอตต์ แลง (แอนท์-แมน) ซึ่งถูกรัฐบาลจับกุมข้อหาเป็นกบฏร่วมกับ กัปตันอเมริกา ในตอนดังกล่าว ถูกปล่อยตัวให้กลับมาใช้ชีวิตปกติพร้อมโทษจองจำห้ามออกจากบ้าน 2 ปี อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องกลับมาร่วมมือกับ โฮป (เดอะ วอร์พส) และ แฮงค์ พิม แอนท์-แมน รุ่น 1 อีกครั้งเพื่อช่วยกันพา เจเน็ต ภรรยาที่หายสาปสูญไปในมิติควอนตัมกลับมาสู่โลกมนุษย์ ทว่าก็ไม่ง่ายเมื่อมีเหล่าร้าย 2 ฝ่ายพยายามช่วงชิงห้องปฏิบัติการของพวกเขา จนกลายเป็นการไล่ล่าที่อลหม่านไปทั่วเมือง

หากหนังภาคแรกคือซูเปอร์ฮีโร่ ผสมงานจารกรรมอันน่าตื่นเต้น ภาคนี้ เพย์ตัน รีด ผู้กำกับ “มนุษย์มด” จากภาคเดิมก็ขอเปลี่ยนระบบเล็กน้อยมาเป็น ซูเปอร์ฮีโร่ ผสมงานไล่ล่าช่วงชิงห้องปฏิบัติการที่ดูแล้วระทึกใจไม่แพ้กัน กระนั้นเองสิ่งที่ผู้เขียนค้นพบระหว่างทางการดูเรื่องนี้คือการที่มันเน้นไปที่สถาบันครอบครัว ซึ่งเป็นเรื่องที่ มาร์เวล ไม่เคยแตะในหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องไหนมาก่อน … หรืออาจมีแบบผิวเผิน แต่ไม่มากเท่าเรื่องนี้

แฟนหนังซูเปอร์ฮีโร่ของ มาร์เวล ที่ติดตามกันมาตลอด 19 เรื่องนับตั้งแต่ Iron Man ภาคแรกฉายปี 2008 คงคุ้นชินกับพล็อตซูเปอร์ฮีโร่ปกป้องโลก ใช้พลังพิเศษห้ำหั่นกับศัตรูแบบวินาศสันตะโร ระเบิดตูมตาม แต่ Ant-Man and the Wasp หันมาโฟกัสกับเรื่องเล็กๆอย่างการมีครอบครัวที่สมบูรณ์ มากกว่ากู้โลกเหมือนเรื่องอื่น ดังนั้นภารกิจของ แอนท์-แมน และคู่หูคนใหม่ คือการช่วยกันกอบกู้ครอบครัวของตัวเองกลับมา (โฮป-แฮงค์ อยากพาภรรยากลับมาจากมิติควอนตัม // สกอตต์ ตั้งใจปฏิบัติตัวดีเพื่อรอวันกลับมาทำหน้าที่คุณพ่อของลูกสาวอีกครั้ง) แม้กระทั่งตัวร้ายประจำเรื่องอย่าง โกสต์ ก็พยายามขัดขวางงานของเหล่าพระเอก เพื่อจะมีชีวิตครอบครัวดั่งมนุษย์ทั่วไป

และมันก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงไม่เห็น แอนท์-แมน มาช่วยเหล่า Avengers ต่อสู้กับ ธานอส วายร้ายระดับจักรวาลในเรื่อง Infinity Wars ที่ออกจากโรงภาพยนตร์ไปก่อนหน้านี้ เพราะพี่ๆเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องกู้โลกกันแล้ว ใครจะตีกันก็ตีไป ครอบครัวพวกข้าต้องมาก่อนโว้ย..

พูดมาข้างต้นถือว่าเป็นส่วนดีของหนัง ทว่าก็มีจุดให้ตำหนิเยอะเหมือนกัน เช่นการเสริมตัวละครอื่นๆเข้ามาทำให้ภารกิจกอบกู้ครอบครัวของฝั่งพระเอกดูวายป่วงยิ่งขึ้น เช่นมาเฟียจอมตลบแตลง, เจ้าหน้าที่ ที่คอยจับตาดู แอนท์-แมน ทุกฝีก้าว ซึ่งเอาจริงไม่ต้องให้บทคนพวกนี้มากหนังน่าจะกระชับและดูสบายกว่านี้ ต่อมาคือการยิงมุกตลก ภาคนี้ถือว่าเรี่ยราดพอสมควร และมันก็ไปทำลายฉากจริงจังที่ควรจะ Build ให้ซึ้ง ดราม่า หรือระทึกขวัญ กลายเป็นตลกคาเฟ่ไปซะงั้นเพราะกลายเป็นตัวขัดจังหวะไปซะทุกช็อต

ฝั่งของแอ็คชั่น ภาคนี้ส่วนตัวว่ายังดูสนุกตื่นเต้นเหมือนเดิมกับการต่อสู้ผสมผสานเทคนิคย่อส่วน ขึ้น-ลง ตามสไตล์ของ แอนท์-แมน แม้จะไม่ฉีกไม่ว้าวเหมือนภาคแรก ขณะที่อีกหนึ่งความน่าเสียดายก็คือภาคนี้ไม่มีฉากที่ แอนท์-แมน โชว์ความสามารถควบคุมเหล่ามดตัวน้อยแบบเท่ๆให้ดูกันเท่าไหร่ ไปเน้นที่ตัวบุคคลกันซะเยอะ รวมถึงความไม่สมเหตุสมผลบางอย่างในซีนแอ็คชั่นช่วงท้าย แต่ก็พอจะลืมๆไปได้บ้างเพราะไม่ได้สำคัญนัก

ดูฮีโร่สู้เพื่อมนุษย์โลกแบบระเบิดภูเขาเผากระท่อมกันมาเยอะแล้ว ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาดูฮีโร่ร่วมกันทำสิ่งเล็กๆเพื่อครอบครัวบ้างอย่าง Ant-Man and the Wasp ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับสัปดาห์นี้ครับ

ปล. หนังมี End Credit 2 ตัวตามสไตล์ มาร์เวล แต่แนะนำว่าให้ดูแค่อันแรกพอ อันที่สองไม่ต้องดูถ้าไม่อยากเสียอารมณ์ (ฮา)