PACIFIC RIM UPRISING – ใหญ่โต บิ๊กเบิ้ม แต่ชวนหลับ

แม้ PACIFIC RIM ภาคแรกจะเจ๊งสนั่นรายได้ไม่เข้าเป้า แต่เพราะมีฐานแฟนบอยที่ชื่นชอบไอเดียจับหุ่นยนต์มาต่อสู้กับสัตว์ประหลาด เหมือนกับขบวนการฮีโร่ 5 สีในอดีต ทำให้หนังสงครามหุ่นยนต์ปะทะอสูรร้าย จึงได้กลับมาขึ้นจอเงินอีกครั้งกับภาคต่อที่ชื่อ PACIFIC RIM UPRISING ที่ใหญ่โตบิ๊กเบิ้มสมชื่อ แต่เสียดายที่ความสนุกมันไม่ได้บิ๊กเบิ้มเหมือนชื่อเรื่อง

หนังทิ้งช่วงห่างจากภาคแรก 10 ปี โดยเล่าถึง เจค อดีตนายทหารหนุ่มผิวสี ลูกชายของนายพลขับเยเกอร์ หนึ่งในฮีโร่ที่ช่วยกอบกู้โลกจากสัตว์ประหลาด (ไคจู) ในอดีต ทว่าเขาก็ไม่ได้คิดเจริญรอยตามพ่อ ทำตัวสนุกสนานกับชีวิตไปวันๆ กระทั่งไปก่อเรื่องผิดกฏหมายเข้า แต่แทนที่จะต้องไปชดใช้ความผิดในซังเต ทางการก็เสนอให้เจ้าตัวกลับมาประจำการเพื่อเป็นครูสอนพลทหารขับเยเกอร์รุ่นใหม่ รับมือกับภัยจากนอกโลกที่กลับมาอีกครั้งแบบทุกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว แลกกับอิสรภาพเมื่อประกอบภารกิจเสร็จสิ้น

เพราะหนังทิ้งช่วงห่างพอสมควร ทำให้การกลับมาของซีรีส์ PACIFIC RIM รอบนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง โดยเฉพาะหัวเรือใหญ่ กิลเลอร์โม เดล โตโร่ (ผกก.รางวัลออสการ์คนล่าสุดจากเรื่อง The Shape of Water ไง) มาเป็น สตีเฟน เดอไนท์ ที่เพิ่งมากำกับหนังใหญ่ครั้งแรก ขณะที่นักแสดงนำก็เปลี่ยนมาให้ จอห์น โบเยก้า ดาวเด่นจาก Star Wars ไตรภาคใหม่มาเป็นผู้นำเรื่อง และกลุ่มนักแสดงวัยรุ่นหน้าใหม่ มารับบทพลทหารวัยคะนองที่มาร่วมรบกับไคจูภาคนี้

สิ่งดีๆที่นึกออกหากเทียบกับภาคแรกคือฉากบู๊ใหญ่โตอลังการสมชื่อ ภาคที่แล้วตีกับไคจูแยกเป็นตัวๆ ภาคนี้เปลี่ยนใหม่เอาไคจู 3 ตัวมารวมร่างกันเป็นหนึ่งเดียว ทำเอาคนดูอย่างเราเกาหัวแกรกๆเป็นห่วงแทนหุ่นเยเกอร์ 4 ตัวฝั่งพระเอกเลยว่าจะเอาอะไรไปสู้หว่า และเป็นเรื่องดีที่ไคจูภาคนี้ หนังเหนียวเคี้ยวยากแถมยังทนทายาดสูง ทำให้การต่อสู้ระหว่างไคจู และเยเกอร์ในช่วงท้ายดวลกันหืดขึ้นคอ

ข้อดีต่อมาคือภาคนี้กำหนดให้ฉากบู๊เกิดขึ้นในตอนกลางวันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เรามองเห็นการต่อสู้ระหว่าง ไคจู กับ เยเกอร์ ชัดเจนขึ้น ไม่ได้ตีกันมืดๆจนมองแทบไม่เห็นเหมือนภาคก่อน ตัวหุ่นก็ออกแบบได้เท่ดี เทียบกับหนังที่มาก่อนอย่างซีรีส์ Transformer ถือว่าดีกว่าเล็กๆโดยเฉพาะฉากเคลื่อนไหวที่มองแล้วไม่งง แยกแยะออกว่าตัวไหนเป็นตัวไหน และฉากบู๊ท้ายเรื่องที่สนุกเร้าใจตามสไตล์หนังแอ็คชั่นสูตรสำเร็จ

ส่วนข้อเสียคือการดำเนินเรื่องช่วงครึ่งแรกนั้นชวนง่วงสิ้นดี ผู้เขียนไม่ได้ซีเรียสกับบทหนังที่พยายามชูเรื่องให้พระเอกได้กอบกู้โลกเพื่อชดใช้ความผิดอันเป็นพล็อตเชยๆนี้เท่าไหร่ แต่แทนที่หนังจะดำเนินเรื่องกันเร็วๆตามสไตล์หนังแอ็คชั่น กลายเป็นเล่าเรื่องเชื่องช้ากว่าจะเข้าเรื่องได้เกือบหลับ และที่ไม่ชอบเลยคือ จอห์น โบเยก้า กับบทพระเอกขี้โวยวาย ท่าเยอะ พูดมาก ซึ่งการกระทำเหล่านี้ส่งผลให้ฉากพูดปลุกใจเหล่าทหารใหม่ก่อนออกรบช่วงไคลแมกซ์ ดูไร้พลัง ขาดความเชื่อถือชนิดว่าถ้าผู้เขียนเป็นพลทหารเองคงบอก พอเหอะจ่า ผมอยากรบแล้ว (ฮา)

ตอนจบของเรื่องมีการทิ้งเชื้อแบบเล็กๆว่าต้องมีภาค 3 ตามมาแน่ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าดีหรือเปล่า แต่สำหรับคอหนังแอ็คชั่นที่อยากดูหนังหุ่นยนต์สู้กับสัตว์ประหลาดแบบสนุกๆสักเรื่อง PACIFIC RIM UPRISING ก็ไม่ใช่ภาคต่อที่เลวร้ายเกินไป (ดีกว่า Transformer ภาคหลังๆเยอะ) ถ้าคุณอดทนกับครึ่งแรกของหนังที่แสนน่าเบื่อได้ ฉากบู๊ตอนท้ายจะตอบแทนคุณได้แน่นอน